“รมว.ต่างประเทศ” แจงกระทู้สดกลางสภา ลั่นไม่คิดเฉือนแผ่นดินแลกพลังงานในอ่าวไทย กับ กัมพูชา ร้อนก้นเร่งเจรจาปัญหาเขาพระวิหาร จี้ กัมพูชาแสดงท่าทีชัดเจน พร้อมโยนบาปให้สื่อกัมพูชาลงคำสัมภาษณ์ ของ รมต.พาณิชย์กัมพูชา ผิด ไม่มีเรื่องแลกผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อน ชี้ สั่งย้าย “วีระชัย” ถูกต้อง เหน็บปลัดบัวแก้วสั่งย้าย แต่กลับออกจม.เห็นใจ
วันนี้ (15 พ.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมี นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ มีการพิจารณากระทู้ถามสดของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ รมว.เงา ต่างประเทศ ถาม นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ เรื่องปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับ กัมพูชา ว่า กระทรวงการต่างประเทศมีนโยบายแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศนี้และการเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา ในบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร อีกทั้งจริงหรือไม่ที่มีการเชื่อมโยงปัญหาเขาพระวิหาร กับการเจรจาผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่ง นายจอม ประสิทธิ์ รมต.พาณิชย์ของกัมพูชา ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คอมโบเดีย เดลี ของกัมพูชา ว่า ไทยพยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารกับผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยขึ้นมาเจรจากับฝ่ายกัมพูชา
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การที่ รมว.ต่างประเทศ พูดถึงตัวเลขพื้นที่ทับซ้อนและการคำนวณส่วนแบ่งการใช้ประโยชน์ทั้งที่ยังไม่มีการคำนวณชัดนั้น ตนคิดว่าไม่เหมาะสม จึงขอให้ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงแนวทางการทำงาน รวมถึงการโยกย้าย นายวีระชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้เจรจาเรื่องเขาพระวิหาร ไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการโยกย้ายนอกฤดูกาล เพราะนายวีระชัย กำลังจะเจรจากับกัมพูชาในเรื่องสำคัญ และมีการโจมตีว่าการโยกย้ายนายวีระชัยเป็นเพราะไม่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายการเมืองในการไม่ให้ข้อมูลการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ 9000 และการทุจริตโครงการหนังสือเดินทางแบบอิเล็กทรอนิกส์ (อี-พาสปอร์ต) เป็นต้น
ด้าน นายนพดล กล่าวว่า ข่าวที่ว่ารัฐบาลไทยพยายามโยงเรื่องเขาพระวิหารไปกับผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลนั้น เป็นความเท็จ เพราะไม่มีรัฐมนตรีคนใด หรือรัฐบาลสมัยใดเอาแผ่นดิน แม้แต่ตารางนิ้วเดียวไปแลกผลประโยชน์ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยมีท่าทีชัดเจนว่าต้องให้มีการบริหารพัฒนาพื้นที่ร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศ ก่อนที่จะมีการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ใกล้จะถึงเดือน ก.ค.นี้ ซึ่งเป็่นเวลาที่จะมีการเลือกตั้งในกัมพูชา และการประชุมพิจารณาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เรื่องนี้จึงถือว่ามีความละเอียดอ่อนและอ่อนไหวต่อความสัมพันธ์ของ 2 ชาติ ดังนั้น ไทยจะเร่งให้มีการเจรจาแก้ปัญหานี้ในช่วง 2 เดือนที่เหลือก่อนการประชุมพิจารณาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก และเร่งรัดขอทราบท่าทีที่ชัดเจนของกัมพูชา รวมถึงให้มีการออกแถลงการณ์ร่วมกันของ 2 ประเทศในเรื่องนี้
รมว.ต่างประเทศ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในโอกาสที่ตนได้ร่วมพิธีเปิดถนนที่ จ.เกาะกง - กัมพูชา เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสหารือนอกรอบกับ นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถึงกรณีพื้นที่เขาพระวิหาร ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นและหาทางออกร่วมกันได้ โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ใดๆ โดยคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้ จะมีพัฒนาการในการเจรจาเรื่องเขาพระวิหาร ส่วนการเจรจาปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย ซึ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางด้านพลังงานนั้น มีความคืบหน้าไปมาก โดยเหลือเรื่องความตกลงสูตรการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกัน และการแบ่งรายได้จากการขุดใช้ทรัพยากรในพื้นที่ดังกล่าวที่ยังตกลงกันไม่ได้ ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า กัมพูชาจะส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมเจรจารัฐบาลไทยเพื่อหาข้อยุติ
“ไม่มีการเชื่อมโยงใดๆ กับการเจรจาเรื่องนี้ เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้แยกจากกันอย่างอิสระ ทั้งในแง่กลไกคณะทำงาน แต่การเจรจาทั้งหมดสามารถทำไปพร้อมๆ กันได้ และจะไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน แต่มีผลประโยชน์ร่วมกัน กระทรวงการต่างประเทศ ขอให้ความมั่นใจว่าจะทำให้การเจรจาดังกล่าวไม่มีประเทศใดเสียประโยชน์ และผมจะทำหน้าที่รักษาประโยชน์ของไทยให้ดีที่สุด จะไม่มีใครได้รับประโยชน์และไม่มีการเจรจาเอาแผ่นดินแลกกับน้ำมันอย่างแน่นอน การเกี้ยเซียะจะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด” นายนพดล กล่าว
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ส่วนการให้สัมภาษณ์ของ นายจาม ประสิทธิ์ รมต.พาณิชย์ ต่อหนังสือพิมพ์ของกัมพูชา ว่า ไทยพยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารกับผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยขึ้นมาเจรจากับฝ่ายกัมพูชานั้น ก็ได้มีการสอบถามจากนายจามแล้ว ซึ่ง นายจาม ยืนยันว่า ไม่ได้ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น แต่เป็นการที่สื่อกัมพูชาลงคำให้สัมภาษณ์ผิด สำหรับการโยกย้ายในกระทรวงการต่างประเทศนั้น ตนได้ทำถูกต้องตามกฎหมายและเหมาะสม เพื่อการประสานงานและประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งถ้าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คงจะชี้แจงได้มากกว่านี้ แต่นี่เป็นกระทู้ จึงไม่อยากให้เรื่องในกระทรวงถูกนำมาเผยแพร่ข้างนอก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้อมูลซีทีเอ็กซ์ โครงการอี-พาสปอร์ต และเอกสารกรณีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่า ทั้งนี้ ตนรู้สึกใจแปลกที่ปลัดกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นคนย้ายนายวีรชัย กลับเขียนจดหมายแสดงความเห็นใจนายวีรชัยในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า ตนทำอย่างมีเหตุผลและถูกต้องแล้ว