"อภิสิทธิ์" ลั่นเขาพระวิหาร แลกกัน วิน-วิน กับสัมปทานน้ำมันและก๊าซไม่ได้ ย้ำต้องรักษาอธิปไตยของชาติ ระบุพื้นที่ผลประโยชน์ทับซ้อน ต้องเดินตามรอยที่ไทยทำร่วมกับมาเลเซีย ด้าน"นพดล"โต้ รมต.เขมร ไม่มียื่นหมูยื่นแมว เขาพระวิหาร แลกก๊าซ ย้ำการเจรจาโปร่งใส แนวทางที่ชัดเจน คือยกเขาพระวิหารให้เขมร แต่พื้นที่โดยรอบที่ ทับซ้อนต้องบริหารจัดการร่วมกัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ทางกัมพูชา เสนอข่าวคำให้สัมภาษณ์ของรมว.พาณิชย์ กัมพูชา ที่ออกมาระบุว่า ทางไทยได้นำเรื่องเขาพระวิหาร กับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 2.6 หมื่น ตร.กม. ที่เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ นำมาเป็นประเด็นในการเจรจาต่อรองกันว่า การที่เขาพระวิหารจะเป็นมรดกโลกหรือไม่ ต้องว่ากันตามข้อเท็จจริง โดยจะต้องไม่ให้กระเทือนกับสิทธิ อำนาจอธิปไตย
ส่วนเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่คาดการณ์กันว่าจะมีทรัพยากรธรรมชาติที่มีมูลค่ามาก ก็ควรหาทางว่าจะทำอย่างไร ให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากตรงนี้ ซึ่งเราก็มีรูปแบบของความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซีย เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่แล้วที่จะดำเนินการ แต่อย่าเอามาต่อรอง หรือปะปนกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกัมพูชาออกมายืนยันว่าไทย เสนอต่อรองเรื่องผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ แลกกับเขาพระวิหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นนายกรัฐมนตรี คงต้องไปดูแล้วว่ามีใครกล้าที่จะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในลักษณะนั้น
เมื่อถามว่าในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยมีข่าวเกี่ยวกับการเจรจาแลกเขาพระวิหาร เพื่อผลประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้อยู่ ซึ่งตรงนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งที่อยากให้นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจอย่างจริงจัง และขอย้ำอีกครั้งว่า เรื่องแบบนี้ไม่มีใครตำหนินายกฯ หรือ กล่าวหา แต่เขาบอกว่า มีคนในรัฐบาลบ้าง หรือมีกระบวนการรอบๆ ตัวนายกฯ จึงอยากเห็นนายกฯ จัดการกับเรื่องนี้ เพื่อพิสูจน์การรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะอ้างได้ไหมว่า แลกเขาพระวิหาร แต่ได้ผลประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติมา ก็ถือว่า วิน วิน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าจะไปมองว่าเป็นเรื่องวินๆ ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องอธิปไตยบนผืนแผ่นดินของเรา ซึ่งตนก็ได้ถามไปว่า อย่างกรณีที่ไปตกลงกับประเทศมาเลเซีย ในพื้นที่ทับซ้อน ก็ไม่เห็นมีการต่อรองอะไร เรื่องวิน วิน ไม่ต้องเอามาเกี่ยวกับเขาพระวิหาร แต่เรื่องวิน วิน จะต้องไปเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนที่จะต้องพิจารณาร่วมกันเท่านั้นเอง
"นพดล"ยกปราสาทให้เขมร
ด้านนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่ทราบว่า รมว.พาณิชย์ ของกัมพูชาให้สัมภาษณ์อย่างไร และหนังสือพิมพ์กัมพูชา เสนอออกไปอย่างไร แต่อยากจะเรียนว่า ประเทศไทยไม่เคยจะยื่นหมูยื่นแมว ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับเขาพระวิหาร เพราะฉะนั้นเรื่องเขาพระวิหารนั้น ทางไทยมีแนวทางที่ชัดเจน คือจะต้องเจรจาในพื้นที่ทับซ้อนในการบริหารจัดการร่วมกัน ส่วนเรื่องก๊าซและน้ำมันจะเจรจากันต่อไป ไม่มีการเอามาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าไทยจะแสดงท่าทีชัดเจนในเรื่องเขาพระวิหารอย่างไร นายนพดล กล่าวว่า ท่าทีของไทยชัดยิ่งกว่าแก้วคริสตัลอีก ตั้งแต่ต้นยืนยันมาโดยตลอดว่า ไทยมีท่าทีหนักแน่นเหมือนกับเขาพระสุเมรุ ซึ่งหนักแน่นยิ่งกว่าเขาพระวิหารอีก ว่า ไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเขาพระวิหาร แต่พื้นที่โดยรอบที่มีปัญหาทับซ้อน อยากจะให้ทางกัมพูชา เพราะทางไทยอ้างเหนือพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ได้มาคุยกัน เพื่อบริหารจัดการร่วมกันนั่นคือท่าทีของไทย
"ท่าทีไทยใสแจ๋ว และหนักแน่นมาโดยตลอด" นายนพดล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากการเดินทางไปเปิดถนนที่ประเทศกัมพูชาแล้วจะเจรจาเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า จะไปเปิดถนน เส้น 48 ที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือทางกัมพูชา และก็จะมีการหารือกันในเรื่องเขาพระวิหาร จะพยายามให้จบในเดือนก.ค.นี้ โดยจะให้วินวิน ทั้งสองฝ่าย เพราะกัมพูชา และสมเด็จฮุนเซนเป็นมิตรประเทศกับไทย คิดว่าจะคุยกันได้ เพราะทางการทูตยังเปิดอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า แนวทางในการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 2.6 หมื่น ตร.กม. เป็นอย่างไร นายนพดล กล่าวว่า แนวทางในการพัฒนาร่วมกันกับกัมพูชา ซึ่งกำลังเจรจากันอยู่
ก๊าซกับเขาพระวิหารต้องแยกกัน
ด้านนายถวิล เปลี่ยนศรี รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ทาง สมช.สนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ต้องยึดหลักการคือ ให้อยู่บนผลประโยชน์ของชาติ
ส่วนเรื่องการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล กับเขาพระวิหารนั้น ต้องเป็นคนละเรื่องกัน อย่างไรก็ตามทางสมช.ได้มีการพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพบกมาโดยตลอด
"ตอนนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดถึงแนวทางการเจรจาของกระทรวงการต่างประเทศที่จะไปเจรจากับกัมพูชาในวันที่ 14 พ.ย.นี้" รองเลขาธิการ สมช.กล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ทางกัมพูชา เสนอข่าวคำให้สัมภาษณ์ของรมว.พาณิชย์ กัมพูชา ที่ออกมาระบุว่า ทางไทยได้นำเรื่องเขาพระวิหาร กับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 2.6 หมื่น ตร.กม. ที่เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ นำมาเป็นประเด็นในการเจรจาต่อรองกันว่า การที่เขาพระวิหารจะเป็นมรดกโลกหรือไม่ ต้องว่ากันตามข้อเท็จจริง โดยจะต้องไม่ให้กระเทือนกับสิทธิ อำนาจอธิปไตย
ส่วนเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่คาดการณ์กันว่าจะมีทรัพยากรธรรมชาติที่มีมูลค่ามาก ก็ควรหาทางว่าจะทำอย่างไร ให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากตรงนี้ ซึ่งเราก็มีรูปแบบของความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซีย เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่แล้วที่จะดำเนินการ แต่อย่าเอามาต่อรอง หรือปะปนกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกัมพูชาออกมายืนยันว่าไทย เสนอต่อรองเรื่องผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ แลกกับเขาพระวิหาร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นนายกรัฐมนตรี คงต้องไปดูแล้วว่ามีใครกล้าที่จะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในลักษณะนั้น
เมื่อถามว่าในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยมีข่าวเกี่ยวกับการเจรจาแลกเขาพระวิหาร เพื่อผลประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ คิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้อยู่ ซึ่งตรงนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งที่อยากให้นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจอย่างจริงจัง และขอย้ำอีกครั้งว่า เรื่องแบบนี้ไม่มีใครตำหนินายกฯ หรือ กล่าวหา แต่เขาบอกว่า มีคนในรัฐบาลบ้าง หรือมีกระบวนการรอบๆ ตัวนายกฯ จึงอยากเห็นนายกฯ จัดการกับเรื่องนี้ เพื่อพิสูจน์การรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะอ้างได้ไหมว่า แลกเขาพระวิหาร แต่ได้ผลประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติมา ก็ถือว่า วิน วิน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าจะไปมองว่าเป็นเรื่องวินๆ ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องอธิปไตยบนผืนแผ่นดินของเรา ซึ่งตนก็ได้ถามไปว่า อย่างกรณีที่ไปตกลงกับประเทศมาเลเซีย ในพื้นที่ทับซ้อน ก็ไม่เห็นมีการต่อรองอะไร เรื่องวิน วิน ไม่ต้องเอามาเกี่ยวกับเขาพระวิหาร แต่เรื่องวิน วิน จะต้องไปเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนที่จะต้องพิจารณาร่วมกันเท่านั้นเอง
"นพดล"ยกปราสาทให้เขมร
ด้านนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่ทราบว่า รมว.พาณิชย์ ของกัมพูชาให้สัมภาษณ์อย่างไร และหนังสือพิมพ์กัมพูชา เสนอออกไปอย่างไร แต่อยากจะเรียนว่า ประเทศไทยไม่เคยจะยื่นหมูยื่นแมว ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับเขาพระวิหาร เพราะฉะนั้นเรื่องเขาพระวิหารนั้น ทางไทยมีแนวทางที่ชัดเจน คือจะต้องเจรจาในพื้นที่ทับซ้อนในการบริหารจัดการร่วมกัน ส่วนเรื่องก๊าซและน้ำมันจะเจรจากันต่อไป ไม่มีการเอามาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าไทยจะแสดงท่าทีชัดเจนในเรื่องเขาพระวิหารอย่างไร นายนพดล กล่าวว่า ท่าทีของไทยชัดยิ่งกว่าแก้วคริสตัลอีก ตั้งแต่ต้นยืนยันมาโดยตลอดว่า ไทยมีท่าทีหนักแน่นเหมือนกับเขาพระสุเมรุ ซึ่งหนักแน่นยิ่งกว่าเขาพระวิหารอีก ว่า ไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเขาพระวิหาร แต่พื้นที่โดยรอบที่มีปัญหาทับซ้อน อยากจะให้ทางกัมพูชา เพราะทางไทยอ้างเหนือพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ได้มาคุยกัน เพื่อบริหารจัดการร่วมกันนั่นคือท่าทีของไทย
"ท่าทีไทยใสแจ๋ว และหนักแน่นมาโดยตลอด" นายนพดล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากการเดินทางไปเปิดถนนที่ประเทศกัมพูชาแล้วจะเจรจาเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่า จะไปเปิดถนน เส้น 48 ที่ไทยได้ให้ความช่วยเหลือทางกัมพูชา และก็จะมีการหารือกันในเรื่องเขาพระวิหาร จะพยายามให้จบในเดือนก.ค.นี้ โดยจะให้วินวิน ทั้งสองฝ่าย เพราะกัมพูชา และสมเด็จฮุนเซนเป็นมิตรประเทศกับไทย คิดว่าจะคุยกันได้ เพราะทางการทูตยังเปิดอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า แนวทางในการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 2.6 หมื่น ตร.กม. เป็นอย่างไร นายนพดล กล่าวว่า แนวทางในการพัฒนาร่วมกันกับกัมพูชา ซึ่งกำลังเจรจากันอยู่
ก๊าซกับเขาพระวิหารต้องแยกกัน
ด้านนายถวิล เปลี่ยนศรี รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ทาง สมช.สนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ต้องยึดหลักการคือ ให้อยู่บนผลประโยชน์ของชาติ
ส่วนเรื่องการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล กับเขาพระวิหารนั้น ต้องเป็นคนละเรื่องกัน อย่างไรก็ตามทางสมช.ได้มีการพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพบกมาโดยตลอด
"ตอนนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดถึงแนวทางการเจรจาของกระทรวงการต่างประเทศที่จะไปเจรจากับกัมพูชาในวันที่ 14 พ.ย.นี้" รองเลขาธิการ สมช.กล่าว
