xs
xsm
sm
md
lg

จากน่านสู่เดียนเบียนฟู เปิดประตูสู่อินโดจีน ตอนที่ 4 : ย้อนอดีตสมรภูมิรบเดียนเบียนฟู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย:มะเมี้ยะ

หนุ่มสาวยุคใหม่ไม่รู้ว่ามีใครรู้จักหนังไทยที่ชื่อ "แหกค่ายนรกเดียนเบียนฟู"กันบ้าง แต่สำหรับคนที่มีอายุวัยสามสิบปีขึ้นไป เชื่อแน่ว่าอย่างน้อยต้องเคยผ่านหูกับชื่อนี้ไม่มากก็น้อย เพราะนี่คือหนังไทยคุณภาพระดับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในงานประการผลรางวัลตุ๊กตาทองปีพ.ศ.2520 กำกับโดยชุมพร เทพพิทักษ์ ( ฮอลลีวู้ดฟิล์ม ) นำแสดงโดย สมบัติ เมทะนี เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ และนักแสดงคุณภาพอีกมากมาย

แหกค่ายนรกเดียนเบียนฟู เป็นเรื่องของทหารรับจ้างชาวไทย ที่รบให้ฝ่ายอเมริกันในสงครามเวียดนาม โชคร้ายโดนจับเป็นเชลยที่เดียนเบียนฟู ตัวหนังสะท้อนในแง่มุมอันโหดร้ายภายในค่าย จนทหารไทยต้องหาทางหนีออกมา

ชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ทำความรู้จักกับ "เดียนเบียนฟู" หลังจากที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าดินแดนนี้อยู่ที่ไหน ก็ได้รู้ว่าเดียนเบียนฟู เป็นเมืองอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม อยู่ห่างจากฮานอยประมาณ 200 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นที่ราบ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง

เดียนเบียนฟูอาจไม่ใช่เมืองหลักทางทรัพยากรการท่องเที่ยวของเวียดนาม แต่สำหรับคนที่ต้องการศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ด้านการสงคราม มาที่เดียนเบียนฟูรับรองไม่ผิดหวัง หลังจากที่ "คณะคาราวานมิตรภาพ ไทย ลาว เวียดนาม" ของเราผ่านด่านไตจาง ด่านที่เพิ่งยกระดับจากด่านท้องถิ่นมาเป็นด่านสากล เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา พวกเราเรียกได้ว่าเข้าสู่เขตเวียดนามเต็มตัว

เส้นทางที่มุ่งหน้าสู่เดียนเบียนฟูนั้นยังคงไต่บนเส้นทางที่เป็นเขาสูง แต่ที่เวียดนามนี้ถนนหนทางสบายกว่าที่ลาวเยอะ พลขับก็ขับไปเรื่อยๆรักษาระดับความเร็วระหว่างกันเป็นอย่างดี เพราะเรามาในรูปของขบวน ส่วนคนนั่งอย่างฉันไม่มีอะไรสุขเท่ากับการมองวิวเพลินๆอีกแล้ว เส้นทางที่ผ่านป่าไม้ยังคงหนาทึบแทรกซึมอยู่กลางขุนเขาทะมึนใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงพวกเราก็ลงสู่ที่ราบเข้าใกล้เขตเมืองทุกทีๆ

ความงดงามของที่ราบในเวียดนามแตกต่างจากฝั่งลาวเล็กน้อย ตรงที่ในฝั่งลาวทุ่งนายังเขียวขจี แต่ที่นี่มองไปทั้งซ้าย ขวา สามารถมองเห็นทุ่งข้าวเหลืองสกาวครอบคลุมอาณาเขตกว้างไกล มีชาวเวียดนามขับรถจักรยานและมอเตอร์ไซค์ผ่านมาให้เห็น ในที่สุดพวกเราก็เข้าสู่เดียนเบียนฟูกันแล้ว

ช่วงเวลาที่เรามาถึงนั้นเย็นแล้ว แต่โปรแกรมประจำวันของเรายังไม่สิ้นสุด เพราะหลังจากเก็บสัมภาระแล้วคืนนี้พวกเรามีนัดชมการแสดงของชนเผ่า "ไทดำ"กัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ด้านศิลปวัฒนธรรมของเดียนเบียนฟู

ด้วยความที่รถคาราวานจากประเทศไทยเป็นรถพวงมาลัยขวา เมื่อนำเข้าจอดในโรงแรมแล้ว คาราวานก็ขอจอดพักรถชั่วคราว หันมานั่งรถทัวร์ของทางโรงแรมที่เป็นพวงมาลัยซ้ายแทน เพราะที่เวียดนามมีกฎไม่ให้รถพวงมาลัยขวาวิ่งบนท้องถนน

ทันทีที่รถทัวร์พาพวกเราเคลื่อนตัวสู่หมู่บ้านชาวไทดำ ก็มีสาวๆชาวไทดำทั้งน้อย ใหญ่ มารอให้การต้อนรับด้วยการส่งจอกเหล้าให้ดื่ม ราวกับต้องการจะสื่อว่า ให้เหล้าในถ้วยใบเล็กเป็นเครื่องหมายของมิตรภาพระหว่างพวกเราและชาวไทดำ

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็หาได้เป็นอื่นไกล ชาวไทดำ ก็มีภาษาขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายคลึงกับคนไทยเราในปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายบรรพบุรุษเดียวกันกับเรา คำบางคำยังสื่อสารกันรู้เรื่องอย่าง "ไม่รู้"ไทยดำก็เรียก"บ่ฮู้"เป็นต้น

งานนี้มีเพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนที่เดินไม่ตรงทาง หลังจากชมการแสดงของชาวไทดำจบ ในรุ่งอรุณที่เวียดนามวันต่อมา พวกเราก็เริ่มทัวร์อดีตสมรภูมิรบต่อทันที โดยเริ่มที่ "พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์"ตั้งอยู่ในตัวเมืองเดียนเบียนฟู

อย่างที่เกริ่นในข้างต้นว่าเดียนเบียนฟูนั้นมีร่องรอยของประวัติศาสตร์สงครามให้ศึกษามากมาย นั่นเพราะในอดีตเมื่อกว่า 50 ปีมาแล้ว เดียนเบียนฟูเคยเป็นที่ตั้งของฐานที่มั่นทางสงครามของทั้งฝ่ายทหารฝรั่งเศส และฝ่ายทหารเวียดมินห์มาก่อน

สิ่งแรกเมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เราจะพบ หุ่นรูปปั้นของนายพล โว เหงียน เกื๊ยบ แม่ทัพเอกฝ่ายเวียดมินห์เข้าหารือลุงโฮจิมินท์ ผู้นำในขณะนั้น ภายในมุมต่างๆจัดแสดงให้เห็นถึงอุปกรณ์ ตลอดจนวิธีรบในสมัยนั้น

อาทิ มีการฉายวีดิทัศน์ภาพการรบบางส่วนในสมัยนั้น ส่วนจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น หมวกไม้ไผ่สานเสียบแซมด้วยใบไม้เพื่อพรางตัว รองเท้ายาง รองเท้าสาน ภาชนะใส่อาหารบุบบี้ไร้รูปมีรอยกระสุนกลวงโบ๋ อาวุธปืนลูกซองบ้าง ปืนอาก้า มีดพร้า ลูกระเบิด ส่วนด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ถูกนำมาใช้เป็นสถานที่เก็บซากรถถัง และปืนใหญ่สมัยสมรภูมิเดียนเบียนฟู แยกเป็นโรงหนึ่งเก็บอาวุธของฝ่ายฝรั่งเศส อีกโรงเก็บอาวุธของเวียดนาม

ใกล้ๆกันมีอนุสาวรีย์ขนาดเล็ก ลักษณะเป็นเพียงแท่งคอนกรีตสีขาวยาวชี้ขึ้นฟ้า ที่ฐานสลักตัวหนังสือคำว่า DIEN BIEN PHU พร้อมทั้งตัวเลข 7.5.1954 บอกวันเดือนปีที่เวียดนามมีชัยเหนือฝรั่งเศส ที่ยอดอนุสาวรีย์มีสัญลักษณ์รูปดาวปรากฏอยู่ ซึ่งนอกจากที่นี่แล้วยังมี "อนุสาวรีย์แห่งชัยชนะเดียนเบียนฟู" ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขากลางเมืองให้ชมอีกด้วย

ออกจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ไปดู "ค่ายบัญชาการรบของฝรั่งเศส"กันบ้าง ที่นี่ตั้งอยู่บนเนินกลางเมืองเดียนเบียนฟู มีจุดเด่นอยู่ที่หลุมระเบิดขนาดใหญ่ที่ทหารเวียดมินห์แปลงร่างเป็นเวียดนามดำดิน ขุดเจาะค่ายฝรั่งเศสทางใต้ดิน
เมื่อถึงที่ตั้งสุสานใกล้ค่ายทหารฝรั่งเศส ทหารเวียดมินห์เข้าใจผิดว่า มาถึงที่หมายคือค่ายรบของฝรั่งเศสแล้ว จึงตัดสินใจวางระเบิดทันที จากความเข้าใจผิดครั้งนั้นทำให้ทหารฝรั่งเศสบาดเจ็บ ล้มตายไปไม่น้อย เพราะจุดที่วางระเบิดใกล้ค่ายมาก หลุมระเบิดแห่งนี้ก็ยังคงปรากฏเป็นสัญลักษณ์จนถึงทุกวันนี้

การรบที่เดียนเบียนฟูนั้น ทำให้ชาติมหาอำนาจในสมัยนั้นถึงกับทึ่งในความพยายามของคู่ต่อสู้ คือ ทหารเวียดมินห์ที่ขนเอาปืนใหญ่ขึ้นไปตั้งไว้บนเขา สามารถลบล้างความเชื่อของฝรั่งเศสได้ว่าเดียนเบียนฟูไม่มีวันถูกตีแตก และลบคำปรามาสของฝรั่งเศสที่ว่า "ไม่เคยมีกองทัพชาวเอเชียที่ไหน จะสามารถเอาชนะกองทัพตะวันตกได้"


ทัวร์สมรภูมิรบเดียนเบียนฟูของฉันยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากแวะพักกินข้าวเที่ยวแล้ว ในช่วงบ่ายยังมีแรงมาเที่ยวต่อกันที่ "สถานที่ประจำการของ นายพล คริสเตียน เดอคาสทรีส์" (Gen. Christian de Castries) แม่ทัพแห่งฝรั่งเศส

ที่นี่มีสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ บันไดซีเมนต์ที่ลึกท่วมหัว เป็นเส้นทางเดินวกวนนำเราลงสู่เบื้องล่างอันเป็นฐานบัญชาการรบใต้ดิน ทองสุก บุนนะลาด ไกด์ชาวลาวของฉันเริ่มสาธยายถึงประวัติของที่นี้ให้ฟังว่า ในชั้นใต้ดินนี้แบ่งย่อยเป็นหลายห้องมีทั้งห้องที่เคยเป็นห้องบัญชาการรบ ตลอดจนห้องครัว ห้องน้ำ มีแม้กระทั่งชั้นเก็บสะสมไวน์ของโปรดของท่านนายพล

หลังจากดูค่ายคูประตูหอรบของทัพฝรั่งเศสเสร็จสิ้นแล้วนั้น พวกเราก็เปลี่ยนจุดหมายมาที่ "กองบัญชาการของนายพลโว เหงียน เกื๊ยบ" ในเขตเขานอกเมืองเดียน เบียน ฟู เพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของทหารเวียดมินห์ และเหนืออื่นใดจุดที่กองกำลังทหารเวียดมินห์ของนายพลโว เหงียน เกื๊ยบ ตั้งอยู่นี้ มีความงดงามของตามแบบฉบับชาวไทดำดั้งเดิมให้ได้ชมกันอย่างเต็มอิ่มอีกด้วย (ติดตามตอนต่อไป)

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

"เดียนเบียนฟู" เป็นจังหวัดหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 200 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกห่างจากลาวเพียง 35 กิโลเมตร เป็นสมรภูมิรบอันลือลั่นในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งแรก (1946-1954) : 1 บาท เท่ากับ 476.19 ดอง โดยประมาณ

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
จากน่านสู่เดียนเบียนฟู เปิดประตูสู่อินโดจีน ตอนที่1: มนต์เมืองน่าน    
จากน่านสู่เดียนเบียนฟู เปิดประตูสู่อินโดจีน ตอนที่2: สุขใจในหลวงพระบาง  
จากน่านสู่เดียนเบียนฟู เปิดประตูสู่อินโดจีน ตอนที่3: แวะอุดมไชย ไปเมืองขวา      
กำลังโหลดความคิดเห็น