“ตัวผมเองถือว่ามาจากครอบครัวที่ยากจนในช่วงที่ศึกษาอยู่ ชีวิตค่อนข้างลำบาก ต้องใช้ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร เพื่อต่อสู้และสร้างอนาคตในวันนี้ และที่สำคัญ สิ่งที่ผมได้รับการปลูกฝังจากครอบครัว แม้ว่าครอบครัวผมเองจะไม่ใช่ครอบครัวมีฐานะที่ดี คือ ความซื่อสัตย์ไม่คิดโกงหรือเบียดบังสิ่งของคนอื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งนั่นเป็นที่มาของคติประจำใจ “อดทน ซื่อสัตย์” ที่ผมใช้เป็นเครื่องเตือนสติและเป็นเข็มทิศในการทำงานของผมมาตลอดชีวิต”นายรังสรรค์ นันทกาวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวย้อนถึงแนวคิด และเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา
หลังจากจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ผมมีโอกาสเข้ารับราชการที่กรมผังเมือง ซึ่งปัจจุบันได้ยุบรวมเข้ากับกรมโยธาธิการ และเปลี่ยนชื่อเป็นกรมโยธาธิการและผังเมือง จากนั้นในปี 33 จึงมีโอกาสเข้าทำงานในภาคเอกชน ที่บริษัท D.S. Land และได้ย้ายมาอยู่ที่ บริษัท วังทองกรุ๊ป ในปี 2535 จนกระทั่งปี 2537 จึงเข้ามาทำงานในบริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH มาจึงถึงปัจจุบัน
วันนี้ถือว่าผมเดินทางมาถึงจุดหนึ่งที่ชีวิตเริ่มมีความมั่นคงทางหน้าที่การงาน มีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงครอบครัวให้มีความเป็นอยู่อย่างไม่ลำบาก พอมีรายได้เหลือเก็บ ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะคืนสิ่งดีๆ ให้แก่ประชาชน จึงก้าวเข้าสู่ภาคการเมือง เพราะต้องการทำงานและนำความรู้ต่างๆ ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์ การทำงานในภาคราชการและภาคเอกชนมาช่วยพัฒนาประเทศชาติ สร้างความเป้นอยู่ที่ดีแก่ประชาชนสังคมส่วนรวม
ผมตัดสินใจลงสมัครเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เขตบึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ในปี2542 ซึ่งผลจากการลงรับการเลือกตั้งในครั้งแรกก็ได้รับความไว้วางใจ รับเลือกให้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และในวันนี้ถือว่าเป็นสมัยที่2 แล้วที่ได้รับการเลือกตั้งให้มาทำหน้าที่ นายกเทศบาลตำบลบึงยี่โถ หลังจากตำบลบึงยี่โถ ได้รับการยกระดับให้เป็นเทศบาลตำบลในปี2549 ที่ผ่านมา
ถามว่า... ถึงวันนี้สิ่งที่ได้รับจากประสบการณ์ในการบริหารงานภาคเอกชน และราชการในระหว่างชีวิตการทำงานที่ผ่านมา สามารถนำมาปรับช่วยในการบริหาร และสร้างความเจริญในท้องถิ่นได้อย่างไร..? บอกได้เลยว่า สิ่งที่สั่งสมมานั้นสามารถช่วยในการทำงานได้อย่างมาก โดยที่ผ่านมาได้นำความรู้ทางด้านการราชการคือความเข้าใจในระบบและขั้นตอนการดำเนินงานของราชการ เข้ามาประยุกรวมกับความรู้ความเข้าใจในระบบการบริการลูกค้าของภาคเอกชน โดยเฉพาะการบริการและบริหารงานชุมชนในโครงการของเอ็น.ซี.ฯ ที่มีลูกบ้านจำนวนมาก สามารถช่วยยกระดับการพัฒนาชุมชนได้อย่างมาก
“มุมมองการบริหารงานของราชการ ระบบการบริหารงานราชการ มองว่าประชาชน คือผู้ได้รับการบริการ แต่ในมุมมองของเอกชนมองว่า ประชาชนคือลูกค้า เมื่อนำมาประกอบและรวมเข้าด้วยกันมาปรับใช้ในการบริหารงาน ทำให้ระบบบริหารจัดการต่างๆ สามรถดำเนินการได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น”
ในขณะที่สามารถสร้างระบบบริหารจัดการได้รวดเร็วขึ้น ความจำเป็นที่ต้องทราบความต้องการของประชาชนที่แท้จริง ทราบปัญหาอย่างถ่องแท้ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหา และพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น จึงได้นำระบบการสำรวจข้อมูลและความต้องการของประชาชนเข้ามาใช้ โดยในแต่ละปี
ทางเทศบาลได้มีการจัดสำรวจปัญหาและความต้องการของประชาชน 2ครั้ง เพื่อนำมาประมวลปัญหาที่เกิดขึ้น และหาแนวทางการแก้ปัญหา โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการประชุม เสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหา ซึ่งหมายถึงการเมืองภาคประชาชนที่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการชุมชน
จากการนำระบบดังกล่าวเข้ามาใช้ ทำให้ตลอดระยะ 6 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ 2546-2551 เทศบาลตำบลบึงยี่โถ ได้รับรางวัลการบริหารจัดการที่ดี ตามหลักธรรมาภิบาลจากกระทรวงมหาดไทยอย่างต่อเนื่อง
จากการทำงานทางด้านการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ถ้าจะให้คะแนนในการทำงาน โดยคำนวณจากความคิดของตนเองนั้น ถ้าถือว่าคะแนนเต็ม 10 การทำงานของผมวันนี้มาได้แค่ครึ่งทาง คือได้คะแนน 6-7 คะแนนเท่านั้น เหตุที่คะแนนการทำงานไม่ได้ถึง 9 หรือ 10 คะแนนนั้น เพราะการทำงานร่วมกับประชาชนไม่มีวันที่จะสามารถทำคะแนนได้เต็ม เมื่อประชาชนมีความต้องการการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากจะถามว่าวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำงานด้านการเมืองหรือยังนั้น ตอบได้เลยว่าการทำงานดูแลประชาชนนั้นไม่มีวันสิ้นสุด
นายรังสรรค์ เล่าถึงชีวิตการทำงานในภาคเอกชนว่า ยังยืนยันในคติประจำใจ 2 คำว่า “ซื่อสัตย์ อดทน” ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ยังต้องทำงานเป็นผู้บริหารในบริษัท เอ็น.ซี.ฯ เพราะหล่อเลี้ยงคติการดำเนินชีวิตเอาไว้ เพราะอาชีพนักการเมืองนั้นมีรายได้เพียงน้อยนิด ไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายและเลี้ยงดูครอบครัว ดังนั้นหากจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ได้จำต้องมีรายได้ที่มากพอ นั่นคือสาเหตุที่ผมยังทำงานในบริษัท เอ็น.ซี.ฯ เพราะไม่อย่างนั้นอาจทำให้ต้องมีการเบียดบังผลประโยชน์ประชาชนมาใช้ในการส่วนตัว
นอกจากนี้สาเหตุที่ ยังต้องทำงานในภาคเอกชนเพราะ การทำงานในภาคเอกชนเป็นงานที่ได้ใช้วิชาชีพที่เรียนรู้มา การดูแลบริหารเงินเข้าออกในบริษัทจำนวน พันๆล้านบาทนั้น ทำให้ช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการบริหารใหม่ๆ มีความท้าทาย เพราะภาคเอกชนมีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีแนวคิดและแนวทางการแก้ปัญหาการแข่งขันซึ่งช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารชุมชม
“งานด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นงานที่มีความท้าทาย เริ่มตั้งแต่การรับผิดชอบ การก่อสร้างบ้าน การขาย จนถึงการโอนบ้าน และบริหารจัดการชุมชนให้ลูกค้ามีความสุข ซึ่งประสบการณ์ความรู้เหล่านี้ผมจะนำไปใช้ในการบริหารงานในเทศบาลได้ในส่วนหนึ่ง”
สำหรับการทำงานในภาคเอกชนนั้น ขณะนี้ถือว่าอยู่ในขั้นตอนที่2 จาก 3 ขั้นตอน ที่ตั้งเป้าหมายไว้ คือขั้นตอนที่1.การบริหารการพัฒนาองค์กรให้เติบโตจากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาทจนสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 1,200 ล้านบาท 2. การบริหารองค์กรให้สามารถดูแลลูกค้าสร้างชุมชนที่ดีให้แก่ลูกค้า ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือขั้นตอนของการสืบทอดงาน ซึ่งเราต้องสร้างเจเนอเรชันใหม่ๆ เข้ามาสานต่องานจากผู้บริหารในปัจจุบัน
นายรังสรรค์ กล่าวถึงชีวิตครอบครัว ในวันว่าง และงานอดิเรก ว่า ทุกวันนี้ผมมีลูกชาย 2 คน คนโตชื่อชนภัทร คนเล็กชื่อ วรภัทร และภรรยาชื่อวรรณา ...ถามว่าในวันนี้ผมเองทำงานใน 2 ด้าน คือด้านการเมืองและรับผิดชอบงานบริหารบริษัทเอกชน ทำให้มีเวลาว่างน้อย แต่ก็ไม่ได้ละเลยการดูแลเอาใจใสครอบครัว เพราะถ้าหากมีเวลาว่างจริงๆ ก็จะพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนชายทะเลบ้าง ไปงานกิจกรรมของบริษัทบ้าง ทุกวันนี้ครอบครัวผมถือว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นครอบครัวหนึ่ง
วันว่างที่ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวในต่างจังหวัดกันผมเองชอบที่จะเข้าสวนปลูก เพาะต้นไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ ซึ่งชื่นชอบมาก โดยเฉพาะกล้วยไม้ซึ่งขณะนี้มีอยู่หลายร้อยชนิด แต่ที่ภูมิใจมากที่สุดมีอยู่ 2 ต้นคือ กล้วยไม้จิ๋ว และกล้วยไม้ “กามาโต้” ที่มีคนนำมาให้เพราะทราบว่าชอบเพาะปลูกต้นไม้
“การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ สำหรับคนที่ต้องทำงานหนัก เครียดกับการทำงาน ... ถือว่าเป็นการผ่อนคลายเป็นการกลับคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งนี้ถือว่าเป็นงานอดิเรก ที่อยากให้หลายๆ คนหันมาใส่ใจร่วมกันรักษาธรรมชาติซึ่งสามารถสร้างความสดชื่นภายในบ้านได้เป็นอย่างดี”
