xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตฟ้าหลังฝนของ"อิสระ บุญยัง" จากนักกิจกรรมสู่เส้นทางนักธุรกิจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ชีวิตผมล้มแล้วลุก ๆ ผ่านวิกฤตทางเศรษฐกิจและธุรกิจมากถึง2ครั้ง เป็นหนี้จากการทำธุรกิจตั้งแต่อายุ24ปี ถึงวันนี้นับว่าประสบการณ์การทำธุรกิจที่สั่งสมมาสร้างให้ผมและบริษัทแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้กับสถานการณ์และฝ่าฟันปัจจัยลบที่เข้ามากระทบตลาดในขณะนี้ได้ กำลังใจและแนวทางประสบการณ์ที่มีส่วนช่วยให้ผมเกิดมาถึงจุดนี้ได้ แม้ว่าจะล้มๆ ลุกๆ มาตลอด คือการเป็นนักกิจกรรมและการตั้งใจจริง และประสบการณ์จากการบริหารจัดการบุคลากรที่ได้จากการร่วมงานค่ายอาสาในช่วงที่ศึกษาในระดับอุดมศึกษา และการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกน้องโดยไม่เคยทิ้งกันมาโดยตลอด"

“สายเลือดนักกิจกรรมที่ถ่ายทอดจากรุ่นพ่อถึงรุ่นลูก ยังไหลเวียนหล่อเลี้ยงให้ชีวิตรู้สึกมีคุณค่า ทำให้ความหวังในอนาคต หลังวางมือจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็อยากจะสานต่อ ปณิธานของตนเองในสมัยยังเป็นนักศึกษา และอยากดำเนินชีวิตบนเส้นทางเดียวกับคุณพ่อ ซึ่งหลังปลดเกษียณแล้วก็ยังคงอุทิตตนเข้าร่วมงานกิจกรรมสังคมต่างๆ กับมูลนิธิ หรือหน่วยงานเพื่อการกุศล เข้าไปให้ความรู้ และแรงกายช่วยงานสังคมด้านต่างๆ”นายอิสระ บุญยัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายชีวิตหลังการวางมือจากธุรกิจอสังหาฯ

นายอิสระ เล่าย้อนถึงช่วงชีวิตในวันที่ยังศึกษาในระดับอุดมศึกษา ว่า ในช่วงที่ผมเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษานั้น เป็นช่วงที่กระแสการเมืองเริ่มขยายเข้าสู่สถานศึกษาต่างๆ ทำให้ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับการเมืองบ้าง โดยมีการรวมตัวกับของกลุ่มนักศึกษา และชมรมต่างๆ ซึ่งโดยมากการรวมตัวกันนั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการเมือง แต่การรวมตัวกันจะเป็นการรวมตัวกันทำกิจกรรมเพื่อสังคม

กระแสการเมืองที่เข้ามาในสถานศึกษาทำให้นักศึกษามีการรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นชมรมเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ มีการเลือกผู้นำ ซึ่งผมเองมีโอกาสได้รับเลือกเป็นประธานชมรม เมื่อสถานการณ์การเมืองเริ่มแผ่วไป การรวมตัวกันของนักศึกษาจึงเป็นการรวมตัวเพื่อสร้างความสมานสามัคคีและการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สังคม การออกค่ายอาสา เพื่อไปสร้างโรงเรียนในสถานที่ห่างไกลในชนบท ซึ่งนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมรู้จักวิธีการบริหารจัดการ และงานก่อสร้างจนก้าวเข้าสู่วงการอสังหาฯในเวลาต่อมา

หลังจากจบการศึกษาในปี2524 ผมมีโอกาสเข้าทำงานที่บริษัท ไทยเทยิน ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเส้นใยและผ้าส่งออก ซึ่งหลังจากทำงานในอุตสาหกรรมเส้นใยอยู่ช่วงหนึ่ง จึงตัดสินใจออกมาก่อตั้งบริษัทตัดเย็บเสื้อผ้าส่งออก ซึ่งสาเหตุที่ตัดสินใจทำธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้านั้นเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมมีพ่อที่เป็นพนักงานธนาคาร พี่ชายที่เป็นพนักงานธนาคาร ซึ่งเป็นงานประจำ ทำให้ผมไม่คิดอยากเป็นพนักงานหรือลูกจ้าง และตัดสินใจทำธุรกิจส่วนตัวในที่สุด จนกระทั่งในปี2526 รัฐบาลออกมาตรการจำกัดสินเชื่อ 18% ส่งผลให้บริษัทต้องปิดตัวไป

“ขณะนั้นผมอายุ24-25ปี แต่มีหนี้ก้อนแรกถึง10 ล้านบาท นับว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก สำหรับคนในสมัยนั้นและอายุเท่านั้น เรียนจบทำงานได้ไม่กี่ปีมาก่อตั้งบริษัทเอง จนในที่สุด ต้องมาประสบวิกฤต จนต้องกลายเป็นหนี้ก้อนโต”

ปี 2527 ผมมีโอกาสได้เข้าไปคุมงานสร้างบ้านให้กับพี่ชายที่รับงานออกแบบบ้านและขยายงานจนเข้ามาเป็นผู้รับออกแบบ และก่อสร้างบ้าน จากนั้นผมได้ชักชนพรรคพวกเข้ามาร่วมหุ้นก่อตั้ง บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โดยเริ่มพัฒนาโครงการบ้านจากโครงการเล็ก และขยายงานมาจนสามารถพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ และเตรียมเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี2539-2540 แต่ต้องประสบกับวิกฤตเศรษฐกิจจนต้องเป็นหนี้กว่า 1,000 ล้านบาท

แต่วันนี้หลังจากผ่านพ้นวิกฤตต่างๆมาทำให้ผมมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจ และบริหารงานอย่างระมัดระวัง มีการตรวจสุขภาพบริษัท สุขภาพลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ทุกวันนี้บริษัทมีสภาพคล่องที่ดี และไม่กลัววิกฤตรอบใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ แม้ว่าความรุนแรงจะเท่ากับปี 2540 หรือไม่ก็ตาม

“ถึงวันนี้ผมมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจว่า ผมไม่ต้องการเป้ฯรายใหญ่ แต่ต้องการเป็นรายกลางที่สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงและสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดได้อย่างทัดเทียม และไม่เกรงกลัวรายใหญ่ที่เข้ามาในถิ่นของผม”

นายอิสระ กล่าวถึงเส้นทางชีวิตหลังการวางมือจากธุรกิจอสังหาฯว่า ถ้าถึงวันที่ส่งต่อธุรกิจให้ทายาท และวางมือแล้วจริงๆ ก็อยากจะให้เวลากับการทำสวนเพาะปลูกพืช และพันธุ์ไม้ต่างๆ ที่ชอบ เพราะทุกวันนี้ก็ทยอยสะสมพันธ์ไม้ต่างๆอยู่แล้ว โดยเฉพาะพันธ์ไม้โบราณ พืชสวนครัว สมุนไพรต่างๆ เพราะทุกวันนี้ใช้เวลากับงานธุรกิจและการบริหารบริษัทเป็นส่วนใหญ่ทำให้ยังไม่มีเวลาว่างในการดูแลพันธ์ไม้ที่สะสมไว้

นอกจากเรื่องของการสะสมพันธุ์ไม้พื้นบ้าน และพืชสวนครัวแล้ว ความตั้งใจอีกอย่างหนึ่งที่สานต่อมาโดยตลอดและคิดว่าเป็นประโยชน์แก่สังคม และคนรุ่นใหม่ก็คือการเป็นวิทยากรรับเชิญ เป็นอาจารย์พิเศษให้แก่สถานศึกษาต่างๆ ซึ่งน่าจะช่วยให้นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ความรู้จากประสบการณ์ในการทำงานจริง ที่ตั้งใจจะถ่ายทอดไว้เป็นแนวทางให้นักศึกษาและผู้สนใจนำไปใช้ได้ประโยชน์ ต่อไป และอีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะสานต่อคือการเขียนหนังสือ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเขียนอยู่แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด ทำให้งานเขียนหนังสือไม่ได้คืบหน้าเท่าที่ควร

หากจะนึกย้อนกลับไปว่ามีสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้อยากสานต่อการทำกิจกรรมเพื่อสังคม คงเกิดจากการที่ได้เห็นคุณพ่อที่แม้ปัจจุบันจะเกษียณอายุงานแล้ว แต่ก็ยังเข้าร่วมกิจกรรมของมูลนิธิ และชมรมต่างๆ ที่รวมตัวกันสร้างกิจกรรมดีๆ และเป็นประโยชน์เพื่อสังคมและผู้ที่ด้อยโอกาสทางด้านต่างๆ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วหากถามว่าเคยสัมผัสงานด้านนี้บ้างหรือไม่ ต้องบอกเลยว่า พยายามปฏิบัติอยู่เป็นประจำ เช่น การเป็นอาจารย์พิเศษ ภาควิชาอสังหาฯ ให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันต่างๆ ให้แก่นักศึกษาระดับปริญญาโท แต่ติดที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาซึ่งต้องจัดสรรให้งานบริษัทเป็นสำคัญ

นอกจากนั้นยัง มีเป็นวิทยากรรับเชิญในการบรรยาย การสัมมนาวิชาการ สัมมนา การเสวนา และการให้ความรู้ในงานต่างๆ ซึ่งในการได้รับเชิญแต่ละครั้งนั้นก็ได้รับค่าบรรยาย ซึ่งเงินที่ได้จากส่วนนี้ผมเองจัดสรรเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะคืนให้แก่หน่วยงานที่จัดงาน และอีกส่วนหนึ่งจะเก็บไว้และมอบให้เป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษาที่ขาดโอกาสตามสถาบันต่างๆ รวมถึงสถานศึกษาที่อยู่ห่างไกลด้วย

งานวิทยากรรับเชิญ ในงานสัมมนา อาจารย์พิเศษตามสถาบันการศึกษา เป็นงานที่ช่วยสร้างให้เราเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง ต้องคนคว้าข้อมูล และตามติดสถานการณ์ ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นงานที่ให้ประโยชน์ทั้งผู้อื่น และประโยชน์แก่ตนเอง ดังนั้นจึงเป็นงานที่สนุก และอยากสานต่อในสิ่งที่คุณพ่อได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง



กำลังโหลดความคิดเห็น