รายงานพิเศษความยาวสองตอนจบ
ตอนที่1
ASTVผู้จัดการรายวัน-1เดือนผ่านไป สำหรับการคลี่คลายคดีลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล จิ๊กซอว์หลายตัว เริ่มถูกนำมาปะติดปะต่อ ตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องเริ่มปรากฏเพิ่มขึ้น จากวันแรกมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะยังไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่า ใครคือผู้ลงมือ ใครคือผู้บงการเบื้องหลัง ทว่าแนวโน้มแห่งการคลี่คลายคดีมีความคืบหน้าไปได้ในระดับที่น่าพอใจพอสมควร ภายใต้การบัญชาการของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นคนเดียวที่จะเป็นผู้เฉลยคำตอบสุดท้ายได้
** ย้อนหลังกลับไปดูตั้งแต่วันเกิดเหตุ (17 เม.ย.2552)
เวลา 05.45 น.เช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายน 2552 ไม่มีใครคาดคิดว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะ ถูกคนร้ายกราดยิงเกือบ 100 นัด ที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช สี่แยกบางขุนพรหม ถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กทม. ขณะจะเข้ามาทำหน้าที่ดำเนินรายการ “Good morning Thailand” ซึ่งออกอากาศทางASTV ส่งผลให้ นายสนธิ ถูกเศษกระสุนฝังลึกในขมับด้านขวาครึ่ง ซม.จำนวน 4 ชิ้น ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าด้านขวายาว 3 ซม. บาดแผลฉีกขาดเล็กน้อยทั่วไปบริเวณข้อมือขวาและบาดแผลถลอกเล็กน้อยทั่วไปบริเวณลำตัวด้านข้างแถบขวา
ในขณะที่ นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถอาการสาหัส ถูกยิงเข้าที่ทรวงอกด้านขวา และต้นแขนขวาและศีรษะ แพทย์ต้องผ่าตัดสมอง และผ่าเศษกระสุนทั้ง 3 จุด ที่สมอง ท้ายทอย ทรวงอกขวาและแขนขวา นอกจากนี้ นายวาร์ยุภักดิ์ มังคละสินธุ์ ผู้ติดตามถูกคมกระสุนถากที่ไหล่ซ้าย บาดเจ็บเล็กน้อย
เบาะแสในที่เกิดเหตุ ตำรวจพบปลอกกระสุนปืนอาก้า 64 ปลอก ปลอกกระสุนเอชเค 17 ปลอก ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 ปลอก และกระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 นัด แต่ไม่ระเบิด
พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงว่า เบื้องต้นตำรวจตั้งประเด็นการลอบสังหารนายสนธิไว้กว้างๆ ทั้งเรื่องการเมืองและธุรกิจ ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณฯสี่แยกบางขุนพรหมพบว่า ไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นพาหนะที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการได้ ในขณะเดียวกัน ได้สั่งให้ฝ่ายสืบสวนออกติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวในกลุ่มมือปืน แต่ยังระบุไม่ได้ว่า ผู้ก่อเหตุเป็นคนมีสีหรือไม่
ต่อมา พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พาหนะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเป็นรถกระบะไม่ทราบทะเบียนและยังไม่ทราบจำนวนคนร้ายที่แน่ชัด
ขณะเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ พร้อมกับมีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ตร. ลงไปกับกำดูแลคดี
ข้อสังเกต : ก่อนเกิดเหตุ บนถนนสามเสนนั้น มีกำลังทหารมาประจำจุดบริเวณสี่แยกต่างๆ ตลอดเส้นทาง แต่คนร้ายสามารถเล็ดลอดนำอาวุธสงครามร้ายแรงเข้ามาลงมือปฏิบัติการได้ ทั้งที่อยู่ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซ้ำกล้องวงจรปิด ตามแยกต่างๆ ไม่สามารถจับภาพพาหนะคนร้ายได้ ในขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับแต่งตั้ง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. เข้ามาควบคุมดูแลคดี ทั้งที่มีความไม่โปร่งใสในหมู่สายตาของพันธมิตรฯ และตั้งแต่เกิดเหตุเช้าตรู่จรดค่ำ ไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับคนร้าย
**วันที่สอง (18 เม.ย.2552)
ที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.อ.จงรัก เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายสืบสวนและปราบปราม เพื่อแบ่งหน้าที่ตรวจสอบพยานหลักฐานและพยานแวดล้อมในคดีลอบสังหารนายสนธิ ในขณะที่ พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม ยืนยันว่า ในเร็ววันนี้ จะสามารถจับตัวผู้ก่อเหตุได้อย่างแน่นอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานแวดล้อมและภาพจากกล้อง CCTV ในพื้นที่ละแวกใกล้เคียง
พล.ต.อ.จงรักระบุว่า เบื้องต้นคาดว่าจะมีคนร้าย 5 คนขึ้นไป และสิ่งสำคัญที่ยืนยันรูปร่างลักษณะคนร้ายก็คือพยานบุคคลใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดช่วงแยกบางขุนพรหมซึ่งเป็นจุดสำคัญนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเสียก่อนเกิดเหตุเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น ส่วนประเด็นการลอบสังหาร มี 2 ประเด็น ทั้งเรื่องการเมือง และเรื่องส่วนตัว
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ระบุว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในบริเวณที่เกิดเหตุ และใกล้เคียง พบเบาะแสรถต้องสงสัยที่ใช้ก่อเหตุยิงนายสนธิเป็นรถกระบะสีเข้ม แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ และจากพฤติกรรมของคนร้ายคาดว่าไม่ค่อยชำนาญในการใช้อาวุธ โดยเฉพาะการยิงระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งจากการเทียบเคียงกับคดียิงศาลรัฐธรรมนูญ ที่คนร้ายยิง เอ็ม 79 ถึง 3 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งแรก ระเบิดไม่ทำงาน จากนั้นคนร้ายก็ขับรถมายิงอีกครั้งเป็นรอบที่ 3 จึงระเบิด
“เราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คาดว่ารถกระบะที่ต้องสงสัยยิงถล่มนายสนธิ น่าจะเป็นรถคันเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุยิงศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังพบเบะแสเพิ่มเติมอีกว่าคนร้ายน่าจะขี่รถจักรยานยนต์ขับตามรถของนายสนธิมาจากบ้านพัก และอาจจะโทรศัพท์ให้รถกระบะตามยิงถล่มเมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ เพราะก่อนหน้านี้ทราบว่านายสนธิไม่เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางจากบ้านพักมายังสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี” ผบช.น.กล่าว
เย็นวันเดียวกัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. สั่งให้มีการแบ่งงานการรับผิดชอบของรอง ผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด โดยในนครบาลให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ปป.2 เข้ามารับผิดชอบ แทน พล.ต.อ.จงรัก ทั้งคดีที่เกี่ยวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคดีที่เกี่ยวกับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมถึงลอบสังหารนายสนธิในครั้งนี้ด้วย
ข้อสังเกต : ทันทีที่ พล.ต.อ.จงรัก เข้ามาควบคุมดูแลคดี เริ่มแถลงผ่านสื่อ โดยเขียนเป็นเอกสารข่าว แจกให้กับสื่อมวลชน ก่อนจะเข้าประชุมที่สน.ชนะสงครามด้วยซ้ำว่า เชื่อว่าคนร้ายมีมากกว่า 5 คน พร้อมตั้งประเด็นการลอบสังหาร 2 ประเด็น ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องส่วนตัว ในขณะที่การสืบสวนเพื่อหาตัวคนร้ายกลับไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งทำไม เพียงแค่วันเดียว พล.ต.อ.พัชรวาท ถึงต้องมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงให้ พล.ต.อ.ธานี ลงมาควบคุมคดีแทน พล.ต.อ.จงรัก โดยไม่ได้เป็นการออกคำสั่ง สั่งการโดยตรง แต่เป็นการสั่งให้มีการแบ่งงานรับผิดชอบของ รอง ผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด ประเด็นนี้ มีนัยอย่างไร
**วันที่สาม( 19 เม.ย.2552)
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เรียกประชุมในระดับ บช.น.อีกทั้งรอง ผบช.น. และผบก. 1-9 พร้อมศูนย์สืบสวนนครบาล พร้อมกล่าวว่า ตำรวจสันนิษฐานว่าก่อนเกิดเหตุ คนร้ายขับรถกระบะออกมาจากบริเวณสี่แยกเทเวศร์แล้วเลี้ยวซ้าย แต่คนร้ายไม่ได้ขับรถตามมาตั้งแต่แรก น่าเชื่อว่าคนร้ายดักซุ่มอยู่ก่อนจุดเกิดเหตุถึงแยกเทเวศร์ เมื่อรถนายสนธิมาถึงแยกนั้น รถคนร้ายก็ออกไปก่อน แสดงว่าคนร้ายต้องทราบว่า รถนายสนธิออกมาเมื่อเวลาไหน โดยมีอาวุธปืนทั้งหมด 6 กระบอก แต่ปืนเอ็ม 79 นั้นยังไม่ทราบว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับปืนเอ็ม 16 หรือเป็นคนละกระบอก ส่วนคนร้ายนั้นคาดว่ามีประมาณ 6 หรือ 7 คน และรถที่คนร้ายใช้นั้นคาดว่ามีประมาณ 2 คัน ทั้งหมดเป็นรถปิกอัพ
วันเดียวกันที่ สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.พงษ์นเรศวร์ ตันติวัฒนา นักวิทยาศาสตร์ (สบ 3) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ เดินทางเข้าตรวจสอบล้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าเวลล์ไฟร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กทม.ของนายสนธิอีกครั้ง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม
ค่ำวันเดียวกัน มีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า มีข่าวจะมีการลอบสังหารแกนนำพันธมิตรฯ 2 คน 2 ส. โดยคนแรก คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ส่วนอีกคนน่าจะเป็น นายสุริยะใส กตะศิลา เพราะทั้งสองถือเป็นกลไกสำคัญของพันธมิตรฯ โดยเฉพาะนายสนธินั้นเป็นแกนนำคนสำคัญ ประกอบกับเป็นเจ้าของ ASTV ซึ่งเป็นกระบอกเสียงและหัวใจสำคัญในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ หากไม่มีนายสนธิ ไม่มี ASTV พันธมิตรฯ ก็จะระส่ำระสาย และอ่อนกำลังไปในที่สุด ในขณะที่ นายสุริยะใส นั้นเป็นผู้ประสานงานที่มีบทบาทสำคัญในการประสานเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรฯ เพื่อเคลื่อนไหวกดดันระบอบทักษิณในวงกว้าง และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการให้ข่าวตอบโต้เปิดโปงแผนของฝ่ายตรงกันข้ามมาโดยตลอด และเมื่อการปฏิบัติการลอบสังหารนายสนธิ ผิดพลาด เพราะนายสนธิรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ค่าหัวของ 2 ส.เพิ่มจาก 5 แสน เป็น 3 ล้านบาท!
ข้อสังเกต : หลังจาก พล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมคดี ตำรวจเริ่มประมวลเหตุการณ์ พยายามตรวจสอบหาพาหนะที่คนร้ายใช้ ทั้งยังนำล้อรถยนต์ของนายสนธิคันที่เกิดเหตุไปตรวจสอบอย่างละเอียดว่าถูกยิง หรือโดนตะปูเรือใบหรือไม่
**วันที่สี่ (20 เม.ย.2552)
พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.เรียกประชุมพนักงานสอบสวน โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ เป็นผู้สรุปความคืบหน้าของคดีและแนวทางการสืบสวนสอบสวนให้ พล.ต.อ.ธานี รับทราบ เพื่อใช้ประกอบในการกำหนดกรอบการทำงาน
ทั้งนี้ มีรายงานระบุว่า ภายหลังจากที่ พล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมดูแลคดีดังกล่าวแล้ว ชุดสืบสวนมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเป็นประเด็นหลัก โดยเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนมีสี ภายใต้การสังกัดของ พล.อ.(พ.) นอกราชการนายหนึ่ง รวมทั้ง เสธ.คนดัง โดยแนวทางสืบสวนพบว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากกลุ่มมือปืนที่ก่อเหตุใช้ลักษณะแบบกองโจรลอบโจมตี ซึ่งกลุ่มอิทธิพลคนมีสีกลุ่มดังกล่าวมีความถนัด ส่วนประเด็นเรื่อง “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่มีนักการเมืองชื่อดังถูกโยงถึง ทางชุดสืบสวนก็ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน และเชื่อว่าหลังจาก พล.ต.อ.ธานี ได้รับทราบความคืบหน้าของคดีแล้ว ประเด็นการสังหารและกลุ่มมือปืนจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
พล.ต.อ.ธานี กล่าวภายหลังการประชุมว่า คดีมีความคืบหน้าไปพอสมควร มีการสอบปากคำพยานไปหลายปากแล้ว โดยในส่วนของการรวบรวมพยานหลักฐานก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร ซึ่งหลักฐานสำคัญในคดีนี้ คือ ภาพจากกล้องวงจรปิด และของกลางที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้สืบสวนต่อไปได้ ส่วนภาพรถกระบะต้องสงสัยที่พบในกล้องวงจรปิดว่าเป็นของคนร้ายหรือไม่นั้น ต้องดูให้ละเอียดรอบคอบก่อนยืนยันว่าใช่หรือไม่ใช่
เวลา 20.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. แถลงข่าวผ่ายรายการถ่ายทอดสดทางช่อง 11 ระบุถึงคดีลอบยิงนายสนธิเพียงสั้นๆว่า “เป็นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้น และอยู่ในขั้นสอบสวนสืบสวน แต่ยืนยันว่า สตช.ตั้งใจจะทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว” จากนั้นให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ชี้แจงแทน
ข้อสังเกต : พล.ต.ท.ธานี เริ่มเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเป็นครั้งแรก เริ่มมีชื่อของกลุ่มคนมีสีตกเป็นเป้าที่จะเป็นคนร้าย และภาพจากกล้องวงจรปิด สามารถนำมาประมวลเหตุการณ์ได้ ในที่สุด มีการคาดการณ์ว่า พาหนะของคนร้ายน่าจะเป็นรถโตโยต้าวีโกคันหนึ่ง และอีกคันยังไม่ชัดเจนว่าเป็นมาสด้าหรือฟอร์ด ในขณะที่ ผบ.ตร. แถลงว่า จะเร่งทำคดีให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมีการจำลองเหตุการณ์หาวิถีกระสุนที่คนร้ายยิง ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาถึง 4 วัน รวมถึงประเด็นสำคัญ ที่ปรากฏมีพยานเห็นรูปพรรณสันฐานคนร้ายขณะลงมือปฏิบัติการณ์
**วันที่ห้า (21 เม.ย.2552)
ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม ได้นำพยานบุคคล ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุสอบปากคำเพิ่มเติม โดยพยานให้การว่า เห็นคนร้าย 2 คน ใส่เสื้อขาว สวมกางเกงลายพราง โดยจำได้ว่า คนหนึ่งตัดผมรองทรงสูง โดยรถคนร้ายขับปาดหน้ารถนายสนธิ แล้ว 2 คนร้ายที่ซุ่มอยู่หลังกระบะท้ายรถ ก็ลุกขึ้นมา โดยคนร้ายคนหนึ่งยืนขึ้นประทับปืน ขณะที่อีกคนหนึ่งลุกขึ้นนั่งประทับปืนเล็งเข้าใส่รถ นายสนธิ แล้วลั่นไกถล่มไม่ยั้ง จากนั้นพากันหลบหนีไป
พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น.ออกมายืนยันว่าจากการตรวจสอบกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุนั้น สามารถตัดไปได้เลยว่าไม่ใช่กระสุนที่ใช้ในหน่วยงานตำรวจอย่างแน่นอน
พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เดินทางเข้าเยี่ยมนายสนธิ ที่ห้องพักผู้ป่วยใน ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาฯ และใช้เวลาเยี่ยมประมาณ 30 นาที ก่อนเปิดเผยสั้นๆว่ามาพูดคุยกับผู้เสียหายเพื่อดูว่าผู้เสียหายจะสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้หรือไม่
ข้อสังเกต : เริ่มมีพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ปรากฏ โดยสามารถจดจำรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้ ขณะเดียวกันตำรวจได้ออกมายืนยันชัดเจนว่า กระสุนที่คนร้ายใช้ลอบสังหารนายสนธิ ไม่มีใช้ในราชการตำรวจ พร้อมๆ กับเริ่มมีรายงานข่าวว่า ผู้บงการเป็นนายทหาร ยศ “พลเอก” รับงานมาด้วยค่าเหนื่อยก้อนมโหฬาร!?!
**วันที่หก (22 เม.ย.2552)
พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รอง ผกก.สน.ชนะสงคราม ระบุว่า ฝ่ายสืบสวนของ สน.ชนะสงคราม ได้ไปติดตามพยานอีก 2 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเด็กปั๊มน้ำมัน ที่ระบุว่าเห็นเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายลอบยิงนายสนธิ ในเช้ามืดวันเกิดเหตุ (17 เม.ย.) เพื่อนำตัวมาสอบปากคำ รวมทั้งให้การเกี่ยวกับรูปพรรณสันฐานของกลุ่มคนร้ายด้วย
เย็นวันเดียวกัน มีรายงานข่าวออกมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า การตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ตรวจพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ (RTA) ซึ่งมาจากว่า ROYAL THAI ARMY และเป็นซีรีส์ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารหน่วยหนึ่งในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)ใช้เท่านั้น
ข้อสังเกต : แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าวันที่หก แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก ทั้งที่เหตุการณ์ล่วงเลยเข้าสู่วันที่หกแล้ว แต่ในเย็นวันเดียวกันนั่นเอง กลับปรากฏความชัดเจนขึ้นจากรายงานข่าวระบุออกมาว่า กระสุนที่ใช้ยิงถล่มนายสนธิมาจากกองทัพบก
**วันที่เจ็ด (23 เม.ย.)
พล.อ.นุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ออกมายอมรับว่า กระสุนที่ใช้ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิงและได้มีการรั่วไหลออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบ
ด้านการสืบสวน ตำรวจได้พยานปากสำคัญซึ่งเห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายก่อเหตุยิงนายสนธิ โดยพยานได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้อย่างชัดเจน และขณะนี้พยานคนดังกล่าวได้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเนื่องจากเกรงพยานจะได้รับอันตราย
ข้อสังเกต : หลังมีรายงานว่า กระสุนที่ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนจากกองทัพบกจน พล.อ.อนุพงษ์ออกมายอมรับว่ามาจากกองพลทหารราบที่ 9 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.อนุพงษ์เคยระบุว่า เหตุการณ์ยิงถล่มนายสนธิด้วยอาวุธสงครามเป็นอาชญากรรมธรรมดา อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวที่ระบุว่า เป็นกระสุนจากกองทัพนั้นออกมาจากฝ่ายตำรวจ นั่นย่อมแสดงว่า ตำรวจคงรู้สึกอึดอัดใจในการทำคดีดังกล่าวพอสมควรเมื่อรู้ว่าเป็นกระสุนจากกองทัพ จนกระทั่ง พล.อ.อนุพงษ์ออกมายอมรับ การสืบสวนจึงเริ่มคืบหน้ามากขึ้น
**วันที่แปด (24 เม.ย.)
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ระบุว่า ได้มีการประสานขอข้อมูลไปทางกองทัพบก เพื่อตรวจสอบกระสุนแล้ว และกองพิสูจน์หลักฐานได้ร่วมประชุมเพื่อหาข้อยุติ ส่วนแนววิถีกระสุนนั้น อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วนเช่นกัน โดยจำนวนรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุนั้นมีไม่ต่ำกว่า 2 คัน และคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุอยู่ที่ประมาณ 5-7 คน ส่วนปืนที่ยิงกระสุนระเบิดนั้นยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเครื่องยิงแบบ เอ็ม 203 หรือ เอ็ม 79
มีรายงานข่าวเรื่องกระสุนของกองทัพบกด้วยว่า กรณีปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ มาจากกองพลทหารราบที่ 9 นั้น เบื้องต้นพบว่าเป็นของหน่วย ร.9 พัน 1, ร.9 พัน 3 และ ร.29 พัน 2 ซึ่งอาจเล็ดลอดออกไประหว่างการฝึกซ้อม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง โดยทางทหารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ระบุแต่เพียงว่าหากข้อเท็จจริงปรากฏจะออกมาชี้แจงให้สาธารณชนได้รับทราบทันที
ด้านแนวทางการสืบสวน พบว่า การตรวจสอบปลอกและหัวกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่พบจุดเกิดเหตุ เพื่อตามหาอาวุธปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ยิงถล่มนายสนธิ เนื่องจากกระสุนชนิดดังกล่าวมีใช้เฉพาะในราชการทหาร จึงต้องให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงประสานหารือการตรวจสอบก่อน ทั้งนี้ ปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ในค่ายทหารนั้นจะมีการเบิกใช้ตามอัตราการจัดยุทโธปกรณ์ ไม่ได้พกติดตัวในที่สาธารณะ
ขณะเดียวกัน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. เรียกประชุมชุดสืบสวนในส่วนของบช.ก. โดยได้วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ และช่วย บช.น. หาพยานหลักฐาน
ข้อสังเกต : หลังจากที่ ผบ.ทบ.ออกมายอมรับว่า เป็นกระสุนจากกองทัพบกนั้น ทำให้การสืบสวนเริ่มมีความชัดเจนขึ้น เริ่มมีตัวละครผุดมาหลายคน ในขณะที่ ผบ.ตร.เอง กลับโยนให้เป็นเรื่องของ พล.ต.อ.ธานี แม้กระทั่งเรื่องปลอกกระสุนที่ ผบ.ทบ.ออกมายอมรับแล้ว แต่ทางผบ.ตร. ก็ยังปฏิเสธ เสมือนจะทำให้เกิดความสับสนขึ้นอีก ทั้งที่ตนเองดำรงอยู่ในฐานะผู้นำสูงสุดของหน่วย
**วันที่เก้า (25 เม.ย.)
ที่ บช.น. พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและสอบสวน (ผบช.กมส.) พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.พร้อมชุดสืบสวน ไปประชุมกันโดยพร้อมเพรียง และหลังการประชุม พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เพื่อเรียกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดี มาเพื่อติดตามผลการสั่งงานที่ได้รับมอบหมาย โดยพบว่าคดีมีความคืบหน้าไปมาก ทั้งในส่วนของมือปืน พยานหลักฐานที่รวบรวมได้ก็มีความชัดเจนมากขึ้น มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่นั้นสามารถนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้แน่นอนแต่ยังไม่ระบุระยะเวลาว่าจะเป็นเมื่อไร
พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้ว่า คดีนี้ มีคนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่ขณะนี้ทางตำรวจได้ตัดประเด็นการสืบสวนสอบสวนไปหลายประเด็นแล้ว เช่น เรื่องส่วนตัว เรื่องชู้สาว โดยเทน้ำหนักมาที่ประเด็นทางการเมือง ซึ่งรวมทั้งกรณีที่นายสนธิเคยออกมากล่าวโจมตีบุคคลต่างๆ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ไปดูแลเรื่องหลักฐานและขั้นตอนการทำงาน
ขณะที่ พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวสั้นๆว่า เรื่องคดีต้องสอบถาม พล.ต.อ.ธานี ส่วนเรื่องการจับกุมนั้นภายใน 7 วันจะมีข่าวดี "ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ภายใน 7 วันนี้แหละจะมีข่าวดี ซีเรียสทอล์กนะเนี่ย" พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวโดยย้ำประโยคที่ว่า ซีเรียสทอล์กถึงสองสามครั้ง
ข้อสังเกต : ตำรวจตัดประเด็นเรื่องส่วนตัวและเรื่องชู้สาวทิ้ง และให้น้ำหนักประเด็นการเมือง ทั้ง พล.ต.อ.ธานี ยังระบุชัดเจนว่า พบเบาะแสไม่ว่าที่ไหน ก็จะไปติดตามพยานหลักฐานมา ในขณะที่ พล.ต.ท.อัศวิน ย้ำว่า อีกไม่เกิน 7 วัน จะมีข่าวดี
(โปรดติดตามอ่านต่อฉบับวันพรุ่งนี้)
ตอนที่1
ASTVผู้จัดการรายวัน-1เดือนผ่านไป สำหรับการคลี่คลายคดีลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล จิ๊กซอว์หลายตัว เริ่มถูกนำมาปะติดปะต่อ ตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องเริ่มปรากฏเพิ่มขึ้น จากวันแรกมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะยังไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่า ใครคือผู้ลงมือ ใครคือผู้บงการเบื้องหลัง ทว่าแนวโน้มแห่งการคลี่คลายคดีมีความคืบหน้าไปได้ในระดับที่น่าพอใจพอสมควร ภายใต้การบัญชาการของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นคนเดียวที่จะเป็นผู้เฉลยคำตอบสุดท้ายได้
** ย้อนหลังกลับไปดูตั้งแต่วันเกิดเหตุ (17 เม.ย.2552)
เวลา 05.45 น.เช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายน 2552 ไม่มีใครคาดคิดว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะ ถูกคนร้ายกราดยิงเกือบ 100 นัด ที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช สี่แยกบางขุนพรหม ถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กทม. ขณะจะเข้ามาทำหน้าที่ดำเนินรายการ “Good morning Thailand” ซึ่งออกอากาศทางASTV ส่งผลให้ นายสนธิ ถูกเศษกระสุนฝังลึกในขมับด้านขวาครึ่ง ซม.จำนวน 4 ชิ้น ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าด้านขวายาว 3 ซม. บาดแผลฉีกขาดเล็กน้อยทั่วไปบริเวณข้อมือขวาและบาดแผลถลอกเล็กน้อยทั่วไปบริเวณลำตัวด้านข้างแถบขวา
ในขณะที่ นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถอาการสาหัส ถูกยิงเข้าที่ทรวงอกด้านขวา และต้นแขนขวาและศีรษะ แพทย์ต้องผ่าตัดสมอง และผ่าเศษกระสุนทั้ง 3 จุด ที่สมอง ท้ายทอย ทรวงอกขวาและแขนขวา นอกจากนี้ นายวาร์ยุภักดิ์ มังคละสินธุ์ ผู้ติดตามถูกคมกระสุนถากที่ไหล่ซ้าย บาดเจ็บเล็กน้อย
เบาะแสในที่เกิดเหตุ ตำรวจพบปลอกกระสุนปืนอาก้า 64 ปลอก ปลอกกระสุนเอชเค 17 ปลอก ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 ปลอก และกระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 นัด แต่ไม่ระเบิด
พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงว่า เบื้องต้นตำรวจตั้งประเด็นการลอบสังหารนายสนธิไว้กว้างๆ ทั้งเรื่องการเมืองและธุรกิจ ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณฯสี่แยกบางขุนพรหมพบว่า ไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นพาหนะที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการได้ ในขณะเดียวกัน ได้สั่งให้ฝ่ายสืบสวนออกติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวในกลุ่มมือปืน แต่ยังระบุไม่ได้ว่า ผู้ก่อเหตุเป็นคนมีสีหรือไม่
ต่อมา พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พาหนะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเป็นรถกระบะไม่ทราบทะเบียนและยังไม่ทราบจำนวนคนร้ายที่แน่ชัด
ขณะเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ พร้อมกับมีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ตร. ลงไปกับกำดูแลคดี
ข้อสังเกต : ก่อนเกิดเหตุ บนถนนสามเสนนั้น มีกำลังทหารมาประจำจุดบริเวณสี่แยกต่างๆ ตลอดเส้นทาง แต่คนร้ายสามารถเล็ดลอดนำอาวุธสงครามร้ายแรงเข้ามาลงมือปฏิบัติการได้ ทั้งที่อยู่ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซ้ำกล้องวงจรปิด ตามแยกต่างๆ ไม่สามารถจับภาพพาหนะคนร้ายได้ ในขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับแต่งตั้ง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. เข้ามาควบคุมดูแลคดี ทั้งที่มีความไม่โปร่งใสในหมู่สายตาของพันธมิตรฯ และตั้งแต่เกิดเหตุเช้าตรู่จรดค่ำ ไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับคนร้าย
**วันที่สอง (18 เม.ย.2552)
ที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.อ.จงรัก เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายสืบสวนและปราบปราม เพื่อแบ่งหน้าที่ตรวจสอบพยานหลักฐานและพยานแวดล้อมในคดีลอบสังหารนายสนธิ ในขณะที่ พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม ยืนยันว่า ในเร็ววันนี้ จะสามารถจับตัวผู้ก่อเหตุได้อย่างแน่นอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานแวดล้อมและภาพจากกล้อง CCTV ในพื้นที่ละแวกใกล้เคียง
พล.ต.อ.จงรักระบุว่า เบื้องต้นคาดว่าจะมีคนร้าย 5 คนขึ้นไป และสิ่งสำคัญที่ยืนยันรูปร่างลักษณะคนร้ายก็คือพยานบุคคลใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดช่วงแยกบางขุนพรหมซึ่งเป็นจุดสำคัญนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเสียก่อนเกิดเหตุเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น ส่วนประเด็นการลอบสังหาร มี 2 ประเด็น ทั้งเรื่องการเมือง และเรื่องส่วนตัว
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ระบุว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในบริเวณที่เกิดเหตุ และใกล้เคียง พบเบาะแสรถต้องสงสัยที่ใช้ก่อเหตุยิงนายสนธิเป็นรถกระบะสีเข้ม แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ และจากพฤติกรรมของคนร้ายคาดว่าไม่ค่อยชำนาญในการใช้อาวุธ โดยเฉพาะการยิงระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งจากการเทียบเคียงกับคดียิงศาลรัฐธรรมนูญ ที่คนร้ายยิง เอ็ม 79 ถึง 3 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งแรก ระเบิดไม่ทำงาน จากนั้นคนร้ายก็ขับรถมายิงอีกครั้งเป็นรอบที่ 3 จึงระเบิด
“เราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คาดว่ารถกระบะที่ต้องสงสัยยิงถล่มนายสนธิ น่าจะเป็นรถคันเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุยิงศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังพบเบะแสเพิ่มเติมอีกว่าคนร้ายน่าจะขี่รถจักรยานยนต์ขับตามรถของนายสนธิมาจากบ้านพัก และอาจจะโทรศัพท์ให้รถกระบะตามยิงถล่มเมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ เพราะก่อนหน้านี้ทราบว่านายสนธิไม่เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางจากบ้านพักมายังสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี” ผบช.น.กล่าว
เย็นวันเดียวกัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. สั่งให้มีการแบ่งงานการรับผิดชอบของรอง ผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด โดยในนครบาลให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ปป.2 เข้ามารับผิดชอบ แทน พล.ต.อ.จงรัก ทั้งคดีที่เกี่ยวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคดีที่เกี่ยวกับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมถึงลอบสังหารนายสนธิในครั้งนี้ด้วย
ข้อสังเกต : ทันทีที่ พล.ต.อ.จงรัก เข้ามาควบคุมดูแลคดี เริ่มแถลงผ่านสื่อ โดยเขียนเป็นเอกสารข่าว แจกให้กับสื่อมวลชน ก่อนจะเข้าประชุมที่สน.ชนะสงครามด้วยซ้ำว่า เชื่อว่าคนร้ายมีมากกว่า 5 คน พร้อมตั้งประเด็นการลอบสังหาร 2 ประเด็น ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องส่วนตัว ในขณะที่การสืบสวนเพื่อหาตัวคนร้ายกลับไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งทำไม เพียงแค่วันเดียว พล.ต.อ.พัชรวาท ถึงต้องมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงให้ พล.ต.อ.ธานี ลงมาควบคุมคดีแทน พล.ต.อ.จงรัก โดยไม่ได้เป็นการออกคำสั่ง สั่งการโดยตรง แต่เป็นการสั่งให้มีการแบ่งงานรับผิดชอบของ รอง ผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด ประเด็นนี้ มีนัยอย่างไร
**วันที่สาม( 19 เม.ย.2552)
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เรียกประชุมในระดับ บช.น.อีกทั้งรอง ผบช.น. และผบก. 1-9 พร้อมศูนย์สืบสวนนครบาล พร้อมกล่าวว่า ตำรวจสันนิษฐานว่าก่อนเกิดเหตุ คนร้ายขับรถกระบะออกมาจากบริเวณสี่แยกเทเวศร์แล้วเลี้ยวซ้าย แต่คนร้ายไม่ได้ขับรถตามมาตั้งแต่แรก น่าเชื่อว่าคนร้ายดักซุ่มอยู่ก่อนจุดเกิดเหตุถึงแยกเทเวศร์ เมื่อรถนายสนธิมาถึงแยกนั้น รถคนร้ายก็ออกไปก่อน แสดงว่าคนร้ายต้องทราบว่า รถนายสนธิออกมาเมื่อเวลาไหน โดยมีอาวุธปืนทั้งหมด 6 กระบอก แต่ปืนเอ็ม 79 นั้นยังไม่ทราบว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับปืนเอ็ม 16 หรือเป็นคนละกระบอก ส่วนคนร้ายนั้นคาดว่ามีประมาณ 6 หรือ 7 คน และรถที่คนร้ายใช้นั้นคาดว่ามีประมาณ 2 คัน ทั้งหมดเป็นรถปิกอัพ
วันเดียวกันที่ สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.พงษ์นเรศวร์ ตันติวัฒนา นักวิทยาศาสตร์ (สบ 3) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ เดินทางเข้าตรวจสอบล้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าเวลล์ไฟร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กทม.ของนายสนธิอีกครั้ง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม
ค่ำวันเดียวกัน มีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า มีข่าวจะมีการลอบสังหารแกนนำพันธมิตรฯ 2 คน 2 ส. โดยคนแรก คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ส่วนอีกคนน่าจะเป็น นายสุริยะใส กตะศิลา เพราะทั้งสองถือเป็นกลไกสำคัญของพันธมิตรฯ โดยเฉพาะนายสนธินั้นเป็นแกนนำคนสำคัญ ประกอบกับเป็นเจ้าของ ASTV ซึ่งเป็นกระบอกเสียงและหัวใจสำคัญในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ หากไม่มีนายสนธิ ไม่มี ASTV พันธมิตรฯ ก็จะระส่ำระสาย และอ่อนกำลังไปในที่สุด ในขณะที่ นายสุริยะใส นั้นเป็นผู้ประสานงานที่มีบทบาทสำคัญในการประสานเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรฯ เพื่อเคลื่อนไหวกดดันระบอบทักษิณในวงกว้าง และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการให้ข่าวตอบโต้เปิดโปงแผนของฝ่ายตรงกันข้ามมาโดยตลอด และเมื่อการปฏิบัติการลอบสังหารนายสนธิ ผิดพลาด เพราะนายสนธิรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ค่าหัวของ 2 ส.เพิ่มจาก 5 แสน เป็น 3 ล้านบาท!
ข้อสังเกต : หลังจาก พล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมคดี ตำรวจเริ่มประมวลเหตุการณ์ พยายามตรวจสอบหาพาหนะที่คนร้ายใช้ ทั้งยังนำล้อรถยนต์ของนายสนธิคันที่เกิดเหตุไปตรวจสอบอย่างละเอียดว่าถูกยิง หรือโดนตะปูเรือใบหรือไม่
**วันที่สี่ (20 เม.ย.2552)
พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.เรียกประชุมพนักงานสอบสวน โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ เป็นผู้สรุปความคืบหน้าของคดีและแนวทางการสืบสวนสอบสวนให้ พล.ต.อ.ธานี รับทราบ เพื่อใช้ประกอบในการกำหนดกรอบการทำงาน
ทั้งนี้ มีรายงานระบุว่า ภายหลังจากที่ พล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมดูแลคดีดังกล่าวแล้ว ชุดสืบสวนมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเป็นประเด็นหลัก โดยเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนมีสี ภายใต้การสังกัดของ พล.อ.(พ.) นอกราชการนายหนึ่ง รวมทั้ง เสธ.คนดัง โดยแนวทางสืบสวนพบว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากกลุ่มมือปืนที่ก่อเหตุใช้ลักษณะแบบกองโจรลอบโจมตี ซึ่งกลุ่มอิทธิพลคนมีสีกลุ่มดังกล่าวมีความถนัด ส่วนประเด็นเรื่อง “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่มีนักการเมืองชื่อดังถูกโยงถึง ทางชุดสืบสวนก็ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน และเชื่อว่าหลังจาก พล.ต.อ.ธานี ได้รับทราบความคืบหน้าของคดีแล้ว ประเด็นการสังหารและกลุ่มมือปืนจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
พล.ต.อ.ธานี กล่าวภายหลังการประชุมว่า คดีมีความคืบหน้าไปพอสมควร มีการสอบปากคำพยานไปหลายปากแล้ว โดยในส่วนของการรวบรวมพยานหลักฐานก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร ซึ่งหลักฐานสำคัญในคดีนี้ คือ ภาพจากกล้องวงจรปิด และของกลางที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้สืบสวนต่อไปได้ ส่วนภาพรถกระบะต้องสงสัยที่พบในกล้องวงจรปิดว่าเป็นของคนร้ายหรือไม่นั้น ต้องดูให้ละเอียดรอบคอบก่อนยืนยันว่าใช่หรือไม่ใช่
เวลา 20.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. แถลงข่าวผ่ายรายการถ่ายทอดสดทางช่อง 11 ระบุถึงคดีลอบยิงนายสนธิเพียงสั้นๆว่า “เป็นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้น และอยู่ในขั้นสอบสวนสืบสวน แต่ยืนยันว่า สตช.ตั้งใจจะทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว” จากนั้นให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ชี้แจงแทน
ข้อสังเกต : พล.ต.ท.ธานี เริ่มเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเป็นครั้งแรก เริ่มมีชื่อของกลุ่มคนมีสีตกเป็นเป้าที่จะเป็นคนร้าย และภาพจากกล้องวงจรปิด สามารถนำมาประมวลเหตุการณ์ได้ ในที่สุด มีการคาดการณ์ว่า พาหนะของคนร้ายน่าจะเป็นรถโตโยต้าวีโกคันหนึ่ง และอีกคันยังไม่ชัดเจนว่าเป็นมาสด้าหรือฟอร์ด ในขณะที่ ผบ.ตร. แถลงว่า จะเร่งทำคดีให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมีการจำลองเหตุการณ์หาวิถีกระสุนที่คนร้ายยิง ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาถึง 4 วัน รวมถึงประเด็นสำคัญ ที่ปรากฏมีพยานเห็นรูปพรรณสันฐานคนร้ายขณะลงมือปฏิบัติการณ์
**วันที่ห้า (21 เม.ย.2552)
ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม ได้นำพยานบุคคล ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุสอบปากคำเพิ่มเติม โดยพยานให้การว่า เห็นคนร้าย 2 คน ใส่เสื้อขาว สวมกางเกงลายพราง โดยจำได้ว่า คนหนึ่งตัดผมรองทรงสูง โดยรถคนร้ายขับปาดหน้ารถนายสนธิ แล้ว 2 คนร้ายที่ซุ่มอยู่หลังกระบะท้ายรถ ก็ลุกขึ้นมา โดยคนร้ายคนหนึ่งยืนขึ้นประทับปืน ขณะที่อีกคนหนึ่งลุกขึ้นนั่งประทับปืนเล็งเข้าใส่รถ นายสนธิ แล้วลั่นไกถล่มไม่ยั้ง จากนั้นพากันหลบหนีไป
พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น.ออกมายืนยันว่าจากการตรวจสอบกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุนั้น สามารถตัดไปได้เลยว่าไม่ใช่กระสุนที่ใช้ในหน่วยงานตำรวจอย่างแน่นอน
พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เดินทางเข้าเยี่ยมนายสนธิ ที่ห้องพักผู้ป่วยใน ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาฯ และใช้เวลาเยี่ยมประมาณ 30 นาที ก่อนเปิดเผยสั้นๆว่ามาพูดคุยกับผู้เสียหายเพื่อดูว่าผู้เสียหายจะสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้หรือไม่
ข้อสังเกต : เริ่มมีพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ปรากฏ โดยสามารถจดจำรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้ ขณะเดียวกันตำรวจได้ออกมายืนยันชัดเจนว่า กระสุนที่คนร้ายใช้ลอบสังหารนายสนธิ ไม่มีใช้ในราชการตำรวจ พร้อมๆ กับเริ่มมีรายงานข่าวว่า ผู้บงการเป็นนายทหาร ยศ “พลเอก” รับงานมาด้วยค่าเหนื่อยก้อนมโหฬาร!?!
**วันที่หก (22 เม.ย.2552)
พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รอง ผกก.สน.ชนะสงคราม ระบุว่า ฝ่ายสืบสวนของ สน.ชนะสงคราม ได้ไปติดตามพยานอีก 2 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเด็กปั๊มน้ำมัน ที่ระบุว่าเห็นเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายลอบยิงนายสนธิ ในเช้ามืดวันเกิดเหตุ (17 เม.ย.) เพื่อนำตัวมาสอบปากคำ รวมทั้งให้การเกี่ยวกับรูปพรรณสันฐานของกลุ่มคนร้ายด้วย
เย็นวันเดียวกัน มีรายงานข่าวออกมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า การตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ตรวจพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ (RTA) ซึ่งมาจากว่า ROYAL THAI ARMY และเป็นซีรีส์ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารหน่วยหนึ่งในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)ใช้เท่านั้น
ข้อสังเกต : แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าวันที่หก แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก ทั้งที่เหตุการณ์ล่วงเลยเข้าสู่วันที่หกแล้ว แต่ในเย็นวันเดียวกันนั่นเอง กลับปรากฏความชัดเจนขึ้นจากรายงานข่าวระบุออกมาว่า กระสุนที่ใช้ยิงถล่มนายสนธิมาจากกองทัพบก
**วันที่เจ็ด (23 เม.ย.)
พล.อ.นุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ออกมายอมรับว่า กระสุนที่ใช้ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิงและได้มีการรั่วไหลออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบ
ด้านการสืบสวน ตำรวจได้พยานปากสำคัญซึ่งเห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายก่อเหตุยิงนายสนธิ โดยพยานได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้อย่างชัดเจน และขณะนี้พยานคนดังกล่าวได้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเนื่องจากเกรงพยานจะได้รับอันตราย
ข้อสังเกต : หลังมีรายงานว่า กระสุนที่ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนจากกองทัพบกจน พล.อ.อนุพงษ์ออกมายอมรับว่ามาจากกองพลทหารราบที่ 9 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.อนุพงษ์เคยระบุว่า เหตุการณ์ยิงถล่มนายสนธิด้วยอาวุธสงครามเป็นอาชญากรรมธรรมดา อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวที่ระบุว่า เป็นกระสุนจากกองทัพนั้นออกมาจากฝ่ายตำรวจ นั่นย่อมแสดงว่า ตำรวจคงรู้สึกอึดอัดใจในการทำคดีดังกล่าวพอสมควรเมื่อรู้ว่าเป็นกระสุนจากกองทัพ จนกระทั่ง พล.อ.อนุพงษ์ออกมายอมรับ การสืบสวนจึงเริ่มคืบหน้ามากขึ้น
**วันที่แปด (24 เม.ย.)
พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ระบุว่า ได้มีการประสานขอข้อมูลไปทางกองทัพบก เพื่อตรวจสอบกระสุนแล้ว และกองพิสูจน์หลักฐานได้ร่วมประชุมเพื่อหาข้อยุติ ส่วนแนววิถีกระสุนนั้น อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วนเช่นกัน โดยจำนวนรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุนั้นมีไม่ต่ำกว่า 2 คัน และคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุอยู่ที่ประมาณ 5-7 คน ส่วนปืนที่ยิงกระสุนระเบิดนั้นยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเครื่องยิงแบบ เอ็ม 203 หรือ เอ็ม 79
มีรายงานข่าวเรื่องกระสุนของกองทัพบกด้วยว่า กรณีปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ มาจากกองพลทหารราบที่ 9 นั้น เบื้องต้นพบว่าเป็นของหน่วย ร.9 พัน 1, ร.9 พัน 3 และ ร.29 พัน 2 ซึ่งอาจเล็ดลอดออกไประหว่างการฝึกซ้อม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง โดยทางทหารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ระบุแต่เพียงว่าหากข้อเท็จจริงปรากฏจะออกมาชี้แจงให้สาธารณชนได้รับทราบทันที
ด้านแนวทางการสืบสวน พบว่า การตรวจสอบปลอกและหัวกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่พบจุดเกิดเหตุ เพื่อตามหาอาวุธปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ยิงถล่มนายสนธิ เนื่องจากกระสุนชนิดดังกล่าวมีใช้เฉพาะในราชการทหาร จึงต้องให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงประสานหารือการตรวจสอบก่อน ทั้งนี้ ปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ในค่ายทหารนั้นจะมีการเบิกใช้ตามอัตราการจัดยุทโธปกรณ์ ไม่ได้พกติดตัวในที่สาธารณะ
ขณะเดียวกัน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. เรียกประชุมชุดสืบสวนในส่วนของบช.ก. โดยได้วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ และช่วย บช.น. หาพยานหลักฐาน
ข้อสังเกต : หลังจากที่ ผบ.ทบ.ออกมายอมรับว่า เป็นกระสุนจากกองทัพบกนั้น ทำให้การสืบสวนเริ่มมีความชัดเจนขึ้น เริ่มมีตัวละครผุดมาหลายคน ในขณะที่ ผบ.ตร.เอง กลับโยนให้เป็นเรื่องของ พล.ต.อ.ธานี แม้กระทั่งเรื่องปลอกกระสุนที่ ผบ.ทบ.ออกมายอมรับแล้ว แต่ทางผบ.ตร. ก็ยังปฏิเสธ เสมือนจะทำให้เกิดความสับสนขึ้นอีก ทั้งที่ตนเองดำรงอยู่ในฐานะผู้นำสูงสุดของหน่วย
**วันที่เก้า (25 เม.ย.)
ที่ บช.น. พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและสอบสวน (ผบช.กมส.) พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.พร้อมชุดสืบสวน ไปประชุมกันโดยพร้อมเพรียง และหลังการประชุม พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เพื่อเรียกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดี มาเพื่อติดตามผลการสั่งงานที่ได้รับมอบหมาย โดยพบว่าคดีมีความคืบหน้าไปมาก ทั้งในส่วนของมือปืน พยานหลักฐานที่รวบรวมได้ก็มีความชัดเจนมากขึ้น มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่นั้นสามารถนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้แน่นอนแต่ยังไม่ระบุระยะเวลาว่าจะเป็นเมื่อไร
พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้ว่า คดีนี้ มีคนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่ขณะนี้ทางตำรวจได้ตัดประเด็นการสืบสวนสอบสวนไปหลายประเด็นแล้ว เช่น เรื่องส่วนตัว เรื่องชู้สาว โดยเทน้ำหนักมาที่ประเด็นทางการเมือง ซึ่งรวมทั้งกรณีที่นายสนธิเคยออกมากล่าวโจมตีบุคคลต่างๆ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ไปดูแลเรื่องหลักฐานและขั้นตอนการทำงาน
ขณะที่ พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวสั้นๆว่า เรื่องคดีต้องสอบถาม พล.ต.อ.ธานี ส่วนเรื่องการจับกุมนั้นภายใน 7 วันจะมีข่าวดี "ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ภายใน 7 วันนี้แหละจะมีข่าวดี ซีเรียสทอล์กนะเนี่ย" พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวโดยย้ำประโยคที่ว่า ซีเรียสทอล์กถึงสองสามครั้ง
ข้อสังเกต : ตำรวจตัดประเด็นเรื่องส่วนตัวและเรื่องชู้สาวทิ้ง และให้น้ำหนักประเด็นการเมือง ทั้ง พล.ต.อ.ธานี ยังระบุชัดเจนว่า พบเบาะแสไม่ว่าที่ไหน ก็จะไปติดตามพยานหลักฐานมา ในขณะที่ พล.ต.ท.อัศวิน ย้ำว่า อีกไม่เกิน 7 วัน จะมีข่าวดี
(โปรดติดตามอ่านต่อฉบับวันพรุ่งนี้)