xs
xsm
sm
md
lg

ครบขวบเดือน ลอบสังหาร"สนธิ" ได้แต่รอฟัง"ข่าวดี"!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

1 เดือนผ่านไป...สำหรับการคลี่คลายคดีลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล จิ๊กซอว์หลายตัว เริ่มถูกนำมาปะติดปะต่อ ตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องเริ่มปรากฏเพิ่มขึ้น จากวันแรกมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่า ใครคือผู้ลงมือ ใครคือผู้บงการเบื้องหลัง ทว่าแนวโน้มแห่งการคลี่คลายคดีมีความคืบหน้าไปได้ในระดับที่น่าพอใจพอสมควร ภายใต้การบัญชาการของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นคนเดียวที่จะเป็นผู้เฉลยคำตอบสุดท้ายได้

วันเกิดเหตุ (17 เม.ย.2552)

เวลา 05.45 น.เช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายน 2552 ไม่มีใครคาดคิดว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกคนร้ายกราดยิงเกือบ 100 นัด ที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช สี่แยกบางขุนพรหม ถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กทม. ส่งผลให้ นายสนธิ ถูกเศษกระสุนฝังลึกในขมับด้านขวาครึ่ง ซม.จำนวน 4 ชิ้น ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าด้านขวายาว 3 ซม. บาดแผลฉีกขาดเล็กน้อยทั่วไปบริเวณข้อมือขวาและบาดแผลถลอกเล็กน้อยทั่วไปบริเวณลำตัวด้านข้างแถบขวา

ในขณะที่ นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถอาการสาหัส ถูกยิงเข้าที่ทรวงอกด้านขวา และต้นแขนขวาและศีรษะ แพทย์ต้องผ่าาตัดสมอง และผ่าเศษกระสุนทั้ง 3 จุด ที่สมอง ท้ายทอย ทรวงอกขวาและแขนขวา นอกจากนี้ นายวายุพักตร์ มัตทะสิน ผู้ติดตามถูกคมกระสุนถากที่ไหล่ซ้าย บาดเจ็บเล็กน้อย

ในที่เกิดเหตุ ตำรวจพบรถยนต์โตโยต้าเวลล์ไฟร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กทม. ถูกยิงถล่มเป็นรูพรุนทั้งคน บริเวณรอบรถพบปลอกกระสุนปืนอาก้า 64 ปลอก ปลอกกระสุนเอชเค 17 ปลอก ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 ปลอก และยังพบรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 53 ที่วิ่งอยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุถูกกระสุนปืนได้รับความเสียหาย รวมทั้งรถร่วมบริการฯ สาย 30 ถูกกระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 นัด แต่ไม่ระเบิด

เวลา 10.30 น.วันเดียวกัน พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงว่า เบื้องต้นตำรวจตั้งประเด็นการลอบสังหารนายสนธิไว้กว้างๆ ทั้งเรื่องการเมืองและธุรกิจ ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณฯสี่แยกบางขุนพรหมพบว่า ไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นพาหนะที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการได้ ในขณะเดียวกัน ได้สั่งให้ฝ่ายสืบสวนออกติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวในกลุ่มมือปืน แต่ยังระบุไม่ได้ว่า ผู้ก่อเหตุเป็นคนมีสีหรือไม่

เวลาเดียวกันที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เรียก พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบก.ศส.บช.น. พ.ต.อ.ขิง แชวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม พร้อมด้วย ผกก.สส.บก.น. 1-9 ผกก.ศส.บช.น. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม เข้าร่วมประชุมคลี่คลายคดี

พล.ต.ท.วรพงษ์ ระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พาหนะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเป็นรถกระบะไม่ทราบทะเบียนและยังไม่ทราบจำนวนคนร้ายที่แน่ชัด นอกจากนี้ จุดเกิดเหตุพบปลอกกระสุน จำนวน 84 ปลอก เป็นอาวุธ 3 ชนิดด้วยกัน ประกอบด้วย ปลอกกระสุนปืนอาก้า 64 นัด ปืนเอชเค 17 นัด และปืนเอ็ม 16 อีก 3 นัด และยังพบระเบิดชนิดเอ็ม 79 เป็นหัวกระสุนที่ไม่ระเบิด ซึ่งหัวกระสุนพุ่งทะลุไปบนรถร่วมบริการฯ สาย 30 ที่วิ่งสวนมา สาเหตุที่กระสุนไม่ทำงานเนื่องจากระยะจุดที่ยิงอยู่ในระยะใกล้เกินไป กระสุนไม่ครบเกลียวรอบทำให้ไม่ทำงาน ส่วนปืนอาก้า 1 แมกกาซีน บรรจุได้ไม่เกิน 30 นัด แต่ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนจำนวนมาก เป็นไปได้ว่ามือปืนอาจจะใช้ 2 แมกกาซีน

“เรื่องอาวุธที่คนร้ายใช้ก่อเหตุนั้น เป็นอาวุธสงคราม แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นคนมีสีหรือไม่ เพราะอาวุธสงครามเช่นนี้ประชาชนทั่วไปก็สามารถมีและหามาได้ เช่นในกรณีของทางภาคใต้ ซึ่งได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ไล่ล่าคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง” พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าว

มีรายงานข่าวในวันเดียวกันระบุว่า ตำรวจกำลังเร่งไล่ล่าหาเบาะแส พร้อมกระจายกำลังตามจับตัวคนร้าย ซึ่งคาดว่าคนร้ายน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 5 คน โดยเป็นทหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งมีความขัดแย้งกันทางการเมือง ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ตัวคนร้ายเร็วๆ นี้

เวลา 17.45 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ พร้อมกับมีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ตร. ลงไปกับกำดูแลคดี

ข้อสังเกต : ก่อนเกิดเหตุ บนถนนสามเสนนั้น มีกำลังทหารมาประจำจุดบริเวณสี่แยกต่างๆ ตลอดเส้นทาง แต่คนร้ายสามารถเล็ดลอดนำอาวุธสงครามร้ายแรงเข้ามาลงมือปฏิบัติการได้ ทั้งที่อยู่ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซ้ำกล้องวงจรปิด ตามแยกต่างๆ ไม่สามารถจับภาพพาหนะคนร้ายได้ ในขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับแต่งตั้ง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. เข้ามาควบคุมดูแลคดี ทั้งที่มีความไม่โปร่งใสในหมู่สายตาของพันธมิตรฯ และตั้งแต่เกิดเหตุเช้าตรู่จรดค่ำ ไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับคนร้าย

วันที่สอง (18 เม.ย.2552)

เวลา 10.00 น.ที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.อ.จงรัก เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายสืบสวนและปราบปราม เพื่อแบ่งหน้าที่ตรวจสอบพยานหลักฐานและพยานแวดล้อมในคดีลอบสังหารนายสนธิ ในขณะที่ พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม ยืนยันว่า ในเร็ววันนี้ จะสามารถจับตัวผู้ก่อเหตุได้อย่างแน่นอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานแวดล้อมและภาพจากกล้อง CCTV ในพื้นที่ละแวกใกล้เคียง

ภายหลังการประชุมดังกล่าวราว 1 ชั่วโมง นายอนุรักษ์ พุดซ้อน เจ้าของรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ทอง ซึ่งปรากฏในกล้อง CCTV รถต้องสงสัยที่ตำรวจระบุในเบื้องต้นว่า อาจเป็นยานพาหนะที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการ โดยนายอนุรักษ์ ระบุว่า เป็นเจ้าของรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ ดีแมคซ์ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ถง-4071 กทม. ที่ปรากฏในกล้อง CCTV จริง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้น เพราะตนมีอาชีพค้าไข่ไก่ ขณะเกิดเหตุ กำลังเดินทางไปตลาดบางลำภูกับมารดาและไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2-3 นาที ก่อนจะเงียบไป โดยไม่เห็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งภายหลัง พล.ต.อ.จงรักยืนยันว่า รถกระบะของนายอนุรักษ์ ไม่มีส่วนเกี่ยววข้องกับคดี

พล.ต.อ.จงรักระบุว่า เบื้องต้นคาดว่าจะมีคนร้าย 5 คนขึ้นไป และสิ่งสำคัญที่ยืนยันรูปร่างลักษณะคนร้ายก็คือพยานบุคคลใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ซึ่งได้กำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งสอบสวนพยานบุคคลแล้ว ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดช่วงแยกบางขุนพรหมซึ่งเป็นจุดสำคัญนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเสียก่อนเกิดเหตุเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น โดยขณะนี้ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบแล้วว่าเสียเพราะสาเหตุใด ส่วนประเด็นการลอบสังหาร มี 2 ประเด็น ทั้งเรื่องการเมือง และเรื่องส่วนตัว

ส่วนกรณีที่มีพาดพิงว่ามีนายทหารยศ พล.อ. และพล.ต.เป็นผู้ลงมือนั้น พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่าการสืบสวนยังไม่ถึงตรงนั้น ก่อนอื่นจะต้องสอบสวนให้ได้เสียก่อนว่าคนร้ายที่ลงมือคือใคร จากนั้นจึงจะสอบสวนขยายผลและตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของอาวุธ เช่น ปลอกกระสุนที่พบนั้นจะต้องตรวจสอบว่ามาจากประเทศอะไร มีอยู่ที่ไหนบ้างในประเทศไทย จากนั้นจึงค่อยสอบสวนขยายผลต่อไปว่าใครมีส่วนร่วมบ้าง

เวลา 16.00 น. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ประชุมเครียดอีกครั้งกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งภายหลังการประชุมผบช.น.ระบุว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในบริเวณที่เกิดเหตุ และใกล้เคียง พบเบาะแสรถต้องสงสัยที่ใช้ก่อเหตุยิงนายสนธิเป็นรถกระบะสีเข้ม แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ และจากพฤติกรรมของคนร้ายคาดว่าไม่ค่อยชำนาญในการใช้อาวุธ โดยเฉพาะการยิงระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งจากการเทียบเคียงกับคดียิงศาลรัฐธรรมนูญ ที่คนร้ายยิง เอ็ม 79 ถึง 3 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งแรก ระเบิดไม่ทำงาน จากนั้นคนร้ายก็ขับรถมายิงอีกครั้งเป็นรอบที่ 3 จึงระเบิด

“เราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คาดว่ารถกระบะที่ต้องสงสัยยิงถล่มนายสนธิ น่าจะเป็นรถคันเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุยิงศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังพบเบะแสเพิ่มเติมอีกว่าคนร้ายน่าจะขี่รถจักรยานยนต์ขับตามรถของนายสนธิมาจากบ้านพัก และอาจจะโทรศัพท์ให้รถกระบะตามยิงถล่มเมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ เพราะก่อนหน้านี้ทราบว่านายสนธิไม่เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางจากบ้านพักมายังสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี” ผบช.น.กล่าว

ขณะเดียวกัน กองปราบปราม โดย พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.นำกำลังเข้าคลี่คลายคดี โดยให้นำภาพจากกล้องวงจรปิดที่จับภาพคนร้ายตามแยกต่างๆ มาประมวล พร้อมทั้งนำรถโมเดลมาจำลองเหตุการณ์ตั้งแต่นายสนธิเดินทางออกจากบ้านพักในซอยสุโขทัย 3 นอกจากนี้ กำลังส่วนหนึ่งได้เดินทางไปหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติมทั้งแต่บ้านพักนายสนธิจนถึงบริเวณที่เกิดเหตุ

เย็นวันเดียวกัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. สั่งให้มีการแบ่งงานการรับผิดชอบของรอง ผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด โดยในนครบาลให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ปป.2 เข้ามารับผิดชอบ แทน พล.ต.อ.จงรัก ทั้งคดีที่เกี่ยวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคดีที่เกี่ยวกับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมถึงลอบสังหารนายสนธิในครั้งนี้ด้วย

ข้อสังเกต : ทันทีที่ พล.ต.อ.จงรัก เข้ามาควบคุมดูแลคดี เริ่มแถลงผ่านสื่อ โดยเขียนเป็นเอกสารข่าว แจกให้กับสื่อมวลชน ก่อนจะเข้าประชุมที่สน.ชนะสงครามด้วยซ้ำว่า เชื่อว่าคนร้ายมีมากกว่า 5 คน พร้อมตั้งประเด็นการลอบสังหาร 2 ประเด็น ทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องส่วนตัว ในขณะที่การสืบสวนเพื่อหาตัวคนร้ายกลับไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งทำไม เพียงแค่วันเดียว พล.ต.อ.พัชรวาท ถึงต้องมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงให้ พล.ต.อ.ธานี ลงมาควบคุมคดีแทน พล.ต.อ.จงรัก โดยไม่ได้เป็นการออกคำสั่ง สั่งการโดยตรง แต่เป็นการสั่งให้มีการแบ่งงานรับผิดชอบของ รอง ผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด ประเด็นนี้ มีนัยอย่างไร

วันที่สาม( 19 เม.ย.2552)

เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เรียกประชุมในระดับ บช.น.อีกทั้งรอง ผบช.น. และผบก. 1-9 พร้อมศูนย์สืบสวนนครบาล พร้อมกล่าวว่า ตำรวจสันนิษฐานว่าก่อนเกิดเหตุ คนร้ายขับรถกระบะออกมาจากบริเวณสี่แยกเทเวศร์แล้วเลี้ยวซ้าย แต่คนร้ายไม่ได้ขับรถตามมาตั้งแต่แรก น่าเชื่อว่าคนร้ายดักซุ่มอยู่ก่อนจุดเกิดเหตุถึงแยกเทเวศร์ เมื่อรถนายสนธิมาถึงแยกนั้น รถคนร้ายก็ออกไปก่อน แสดงว่าคนร้ายต้องทราบว่า รถนายสนธิออกมาเมื่อเวลาไหน โดยมีอาวุธปืนทั้งหมด 6 กระบอก แต่ปืนเอ็ม 79 นั้นยังไม่ทราบว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับปืนเอ็ม 16 หรือเป็นคนละกระบอก ส่วนคนร้ายนั้นคาดว่ามีประมาณ 6 หรือ 7 คน และรถที่คนร้ายใช้นั้นคาดว่ามีประมาณ 2 คัน ทั้งหมดเป็นรถปิกอัพ ทั้งนี้จะได้ประสานไปยังผู้ที่เชี่ยวชาญหรือแฟนพันธุ์แท้รถปิคอัพ เพื่อให้มาดูภาพว่ารถที่คนร้ายใช้เป็นรถกระบะยี่ห้อและรุ่นอะไร

วันเดียวกันที่ สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.พงษ์นเรศวร์ ตันติวัฒนา นักวิทยาศาสตร์ (สบ 3) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ เดินทางเข้าตรวจสอบล้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าเวลล์ไฟร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กทม.ของนายสนธิอีกครั้ง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม และเจ้าหน้าที่ได้นำยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ ถอดออกมาตรวจสอบร่องรอยว่ายางรถยนต์ทั้ง 4 เส้นถูกวางเรือใบก่อนที่จะเกิดเหตุหรือคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์เพื่อต้องการหยุดรถ ก่อนลงมือกระหน่ำยิงนายสนธิด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด

จากการตรวจสอบพบว่า ล้อหน้าด้านขวามีหัวกระสุนปืนอาก้า 1 นัด มีรอยถูกยิง 4-5 รู ล้อหน้าด้านซ้ายไม่พบหัวกระสุน มีรอยถูกยิง 2 รู ล้อหลังด้านขวา พบเศษโลหะ 1 ชิ้น มีรอยถูกยิง 2-3 รู และล้อหลังด้านซ้ายพบหัวกระสุน 1 นัด รอการพิสูจน์ว่าเป็นหัวกระสุนชนิดใด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบในเบื้องต้น ทราบว่า รถของนายสนธิ ถูกยิงขณะกำลังแล่นอยู่ จนยางแตกทั้ง 4 ล้อ ทำให้รถหยุด จากนั้นคนร้ายได้ลงมือสาดกระสุนใส่จากส่วนบนของตัวรถ ไล่ลงสู่ตัวถังด้านล่าง แต่อย่างไรก็ตามจะต้องรอผลการตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง

ค่ำวันเดียวกัน มีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า มีข่าวจะมีการลอบสังหารแกนนำพันธมิตรฯ 2 คน 2 ส. โดยคนแรก คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ส่วนอีกคนน่าจะเป็น นายสุริยะใส กตะศิลา เพราะทั้งสองถือเป็นกลไกสำคัญของพันธมิตรฯ โดยเฉพาะนายสนธินั้นเป็นแกนนำคนสำคัญ ประกอบกับเป็นเจ้าของ ASTV ซึ่งเป็นกระบอกเสียงและหัวใจสำคัญในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ หากไม่มีนายสนธิ ไม่มี ASTV พันธมิตรฯ ก็จะระส่ำระสาย และอ่อนกำลังไปในที่สุด ในขณะที่ นายสุริยะใส นั้นเป็นผู้ประสานงานที่มีบทบาทสำคัญในการประสานเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรฯ เพื่อเคลื่อนไหวกดดันระบอบทักษิณในวงกว้าง และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการให้ข่าวตอบโต้เปิดโปงแผนของฝ่ายตรงกันข้ามมาโดยตลอด และเมื่อการปฏิบัติการลอบสังหารนายสนธิ ผิดพลาด เพราะนายสนธิรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ค่าหัวของ 2 ส.เพิ่มจาก 5 แสน เป็น 3 ล้านบาท!

ข้อสังเกต : หลังจาก พล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมคดี ตำรวจเริ่มประมวลเหตุการณ์ พยายามตรวจสอบหาพาหนะที่คนร้ายใช้ ทั้งยังนำล้อรถยนต์ของนายสนธิคันที่เกิดเหตุไปตรวจสอบอย่างละเอียดว่าถูกยิง หรือโดนตะปูเรือใบหรือไม่

วันที่สี่ (20 เม.ย.2552)

เวลา 09.30 น.พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.เรียกประชุมพนักงานสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และคดีคนร้ายลอบยิงนายสนธิ โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ เป็นผู้สรุปความคืบหน้าของคดีและแนวทางการสืบสวนสอบสวนให้ พล.ต.อ.ธานี รับทราบ เพื่อใช้ประกอบในการกำหนดกรอบการทำงาน

ทั้งนี้ มีรายงานระบุว่า ภายหลังจากที่ พล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมดูแลคดีดังกล่าวแล้ว ชุดสืบสวนมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเป็นประเด็นหลัก โดยเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนมีสี ภายใต้การสังกัดของ พล.อ.(พ.) นอกราชนายหนึ่ง รวมทั้ง เสธ.คนดัง โดยแนวทางสืบสวนพบว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากกลุ่มมือปืนที่ก่อเหตุใช้ลักษณะแบบกองโจรลอบโจมตี ซึ่งกลุ่มอิทธิพลคนมีสีกลุ่มดังกล่าวมีความถนัด ส่วนประเด็นเรื่อง “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่มีนักการเมืองชื่อดังถูกโยงถึง ทางชุดสืบสวนก็ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน และเชื่อว่าหลังจาก พล.ต.อ.ธานี ได้รับทราบความคืบหน้าของคดีแล้ว ประเด็นการสังหารและกลุ่มมือปืนจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

พล.ต.อ.ธานี กล่าวภายหลังการประชุมว่า คดีมีความคืบหน้าไปพอสมควร มีการสอบปากคำพยานไปหลายปากแล้ว โดยในส่วนของการรวบรวมพยานหลักฐานก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร ซึ่งหลักฐานสำคัญในคดีนี้ คือ ภาพจากกล้องวงจรปิด และของกลางที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้สืบสวนต่อไปได้ ส่วนภาพรถกระบะต้องสงสัยที่พบในกล้องวงจรปิดว่าเป็นของคนร้ายหรือไม่นั้น ต้องดูให้ละเอียดรอบคอบก่อนยืนยันว่าใช่หรือไม่ใช่

“ขณะนี้ยังไม่สามารถเจาะจงกลุ่มคนร้ายที่ลงมือได้ ส่วนประเด็นการสังหารเรายังไม่ตัดทุกประเด็น ซึ่งเราต้องนำพยานหลักฐานมาพิจารณาเป็นประเด็นไป ทุกคนจะพยายามทำงานให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องอาวุธปืนของคนร้ายก็ตรวจสอบอยู่ พยายามทำให้เร็ว ทุกคนตั้งใจทำงานให้รวดเร็วอยู่แล้ว” รอง ผบ.ตร.กล่าว

ขณะที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ระบุว่า ได้นำแชมป์แฟนพันธุ์แท้รถมือสอง มาช่วยตรวจสอบภาพรถกระบะต้องสงสัย ที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดทั้ง 2 จุด คือ บริเวณศาลรัฐธรรมนูญ และจุดยิงนายสนธิ เพื่อหาความเชื่อมโยงกันของทั้ง 2 คดี ในเรื่องของยานพาหนะ ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่ารถกระบะต้องสงสัยทั้ง 2 จุด เป็นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีดำ เหมือนกัน แต่การตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า เป็นรถคนละคัน ขณะนี้ที่ยืนยันได้คือ โตโยต้า วีโก้ สีดำ อีกคันไม่ชัดเจนระหว่างฟอร์ดกับมาสด้าเพราะภาพไม่ชัด แต่ทั้งหมดเป็นเพียงรถต้องสงสัยเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นรถของคนร้าย

ผบช.น.ระบุต่อว่า ได้มีการตรวจสอบกล้องCCTV ที่บริเวณแยกบางขุนพรหม ซึ่งเดิมมีข่าวว่ามีคนไปตัด จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพบว่า ตัวกล้องดังกล่าวไม่ได้เสีย สามารถดูภาพเหตุการณ์ แต่ที่เสียคือตัวบันทึก และเป็นของกทม. โดยตัวบันทึกถูกยิงไป 2 นัด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวบันทึกเสีย นอกจากนี้ ตำรวจได้ขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งหมด 206 กล้อง ในวันเกิดเหตุ โดยได้เลือกดูเป็นกล้องๆ ไป ส่วนใหญ่จะดูที่กล้องบริเวณแยกต่างๆ ใกล้ทำเนียบรัฐบาล เช่น แยกวังแดง แยกสวนมิสกวัน แยกพระบรมรูปทรงม้า และยังมีการประสานขอภาพจากกล้องวงจรปิดจากร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ธนาคาร และทางด่วนทุกจุดมาตรวจสอบด้วย

เวลา 20.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. แถลงข่าวผ่ายรายการถ่ายทอดสดทางช่อง 11 ระบุถึงคดีลอบยิงนายสนธิเพียงสั้นๆว่า “เป็นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้น และอยู่ในขั้นสอบสวนสืบสวน แต่ยืนยันว่า สตช.ตั้งใจจะทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว” จากนั้นให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ชี้แจงแถลงไขแทน เหมือนกับที่ พล.ต.ท.วรพงษ์กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องรถคนร้ายและกล้อง CCTV

ต่อมาเมื่อเวลา 21.00 น. ที่บริเวณจุดเกิดเหตุซึ่งคนร้าย ยิงถล่มนายสนธิ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รอง ผบก.พฐ. พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ปิดถนนสามเสน บริเวณหน้าวัดเอี่ยมวรนุช เพื่อทำการจำลองเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มนายสนธิ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ พฐ.ได้ใช้รถตำรวจจอดไว้ในจุดเดียวกับรถยนต์ของนายสนธิในวันเกิดเหตุ และตรวจสอบรอยกระสุนบนพื้นถนน ซึ่งพบว่ามีรอยกระสุนที่ไม่เข้าเป้าหมาย 15 รอย จึงได้ใช้วิธีมาร์กจุดกะเทาะของกระสุนที่พบบนพื้นถนนก่อนใช้เชือกโยงเพื่อหาวิถีกระสุนของคนร้ายว่ามาจากทิศทางใด

พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า การจำลองเหตุการณ์ดังกล่าว มีเป้าหมายหลักเพื่อหาวิถีกระสุนของคนร้ายว่ามาจากจุดใดกันแน่ รวมทั้งจุดที่รถผู้เสียหายและรถคนร้ายจอดอยู่เพื่อนำมาประมวลเข้ากับวัตถุพยานที่พบในที่เกิดเหตุ รวมทั้งคำให้การของพยานที่เห็นเหตุการณ์ว่าสอดคล้องกันหรือไม่เพื่อกำหนดกรอบการสอบสวนให้แคบลง เชื่อว่าผลการจำลองเหตุการณ์น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะมีการแถลงผลการตรวจสอบให้ทราบในโอกาสต่อไป

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างสืบสวนหากลุ่มคนร้ายที่ลงมือยิงนายสนธิ โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนมีสีที่มีลูกน้องในกลุ่มเคยไปก่อเหตุในพื้นที่ต่างๆ ล่าสุดชุดสืบสวนได้พยานปากสำคัญที่เห็นเหตุการณ์ ขณะที่คนร้ายลงมือก่อเหตุได้นำไปสอบสวนรายละเอียดตำหนิรูปพรรณที่ชัดเจนของคนร้ายแล้ว

ข้อสังเกต : พล.ต.ท.ธานี เริ่มเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเป็นครั้งแรก เริ่มมีชื่อของกลุ่มคนมีสีตกเป็นเป้าที่จะเป็นคนร้าย และภาพจากกล้องวงจรปิด สามารถนำมาประมวลเหตุการณ์ได้ ในที่สุด มีการคาดการณ์ว่า พาหนะของคนร้ายน่าจะเป็นรถโตโยต้าวีโกคันหนึ่ง และอีกคันยังไม่ชขัดเจนว่าเป็นมาสด้าหรือฟอร์ด ในขณะที่ ผบ.ตร. แถลงว่า จะเร่งทำคดีให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมีการจำลองเหตุการณ์หาวิถีกระสุนที่คนร้ายยิง ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาถึง 4 วัน รวมถึงประเด็นสำคัญ ที่ปรากฏมีพยานเห็นรูปพรรณสันฐานคนร้ายขณะลงมือปฏิบัติการณ์

วันที่ห้า (21 เม.ย.2552)

ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม ได้นำพยานบุคคล ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุสอบปากคำเพิ่มเติม โดยพยานให้การว่า เห็นคนร้าย 2 คน ใส่เสื้อขาว สวมกางเกงลายพราง โดยจำได้ว่า คนหนึ่งตัดผมรองทรงสูง โดยรถคนร้ายขับปาดหน้ารถนายสนธิ แล้ว 2 คนร้ายที่ซุ่มอยู่หลังกระบะท้ายรถ ก็ลุกขึ้นมา โดยคนร้ายคนหนึ่งยืนขึ้นประทับปืน ขณะที่อีกคนหนึ่งลุกขึ้นนั่งประทับปืนเล็งเข้าใส่รถ นายสนธิ แล้วลั่นไกถล่มไม่ยั้ง จากนั้นพากันหลบหนีไป

เวลา 12.00น. พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น.ออกมายืนยันว่าจากการตรวจสอบกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุนั้น สามารถตัดไปได้เลยว่าไม่ใช่กระสุนที่ใช้ในหน่วยงานตำรวจอย่างแน่นอน

เวลา 14.10 น. พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เดินทางเข้าเยี่ยมนายสนธิ ที่ห้องพักผู้ป่วยใน ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาฯ และใช้เวลาเยี่ยมประมาณ 30 นาที ก่อนเปิดเผยสั้นๆว่ามาพูดคุยกับผู้เสียหายเพื่อดูว่าผู้เสียหายจะสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายยังไม่แข็งแรงมากนักจึงยังไม่ได้รายละเอียดอะไร และหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังระบุไม่ได้ว่านายสนธิจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้เมื่อไหร่ ส่วนความคืบหน้าของคดีคงต้องรอผลการสืบสวนของพื้นที่ที่มอบหมายไปก่อนหน้านี้ก่อน

ข้อสังเกต : เริ่มมีพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ปรากฏ โดยสามารถจดจำรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้ ขณะเดียวกันตำรวจได้ออกมายืนยันชัดเจนว่า กระสุนที่คนร้ายใช้ลอบสังหารนายสนธิ ไม่มีใช้ในราชการตำรวจ พร้อมๆ กับเริ่มมีรายงานข่าวว่า ผู้บงการเป็นนายทหาร ยศ “พลเอก” รับงานมาด้วยค่าเหนื่อยก้อนมโหฬาร!?!

วันที่หก (22 เม.ย.2552)

พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รอง ผกก.สน.ชนะสงคราม ระบุว่า ฝ่ายสืบสวนของ สน.ชนะสงคราม ได้ไปติดตามพยานอีก 2 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเด็กปั๊มน้ำมัน ที่ระบุว่าเห็นเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายลอบยิงนายสนธิ ในเช้ามืดวันเกิดเหตุ (17 เม.ย.) เพื่อนำตัวมาสอบปากคำ รวมทั้งให้การเกี่ยวกับรูปพรรณสันฐานของกลุ่มคนร้ายด้วย

เวลา 13.00 น. พ.ต.ท.เจริญ ปานคล้าย รอง ผกก.3 กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ นำกำลังเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานประมาณ 20 นาย เข้าตรวจบริเวณจุดเกิดเหตุอีกครั้ง โดยเข้าตรวจสอบแนววิถีกระสุน และรอยล้อรถตู้ของนายสนธิ และรอยล้อรถกับดอกยางรถที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะ รวมทั้งเข้าตรวจสอบบริเวณชั้น 3 ของอาคารธนาคารแห่งประเทศไทยที่ถูกกระสุนยิงใส่กระจกจำนวน 1 นัด โดยพ.ต.ท.เจริญ กล่าวว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ให้มาเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับร่องรอยล้อรถในที่เกิดเหตุ

เย็นวันเดียวกัน มีรายงานข่าวออกมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า การตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ตรวจพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.จำนวน 3 ปลอก ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ (RTA) ซึ่งมาจากว่า ROYAL THAI ARMY และเป็นซีรีส์ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารหน่วยหนึ่งในสังกัดกองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1)ใช้เท่านั้น

ข้อสังเกต : แม้เวลาจะล่วงเลยเข้าวันที่หก แต่ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก อีกทั้งพล.ต.อ.พัชรวาท เพิ่งจะสั่งให้ พฐ.ไปตรวจสอบรอยล้อรถของนายสนธิ และรอยล้อรถของคนร้ายในที่เกิดเหตุ ทั้งที่เหตุการณ์ล่วงเลยเข้าสู่วันที่หกแล้ว แต่ในเย็นวันเดียวกันนั่นเอง กลับปรากฏความชัดเจนขึ้นจากรายงานข่าวระบุออกมาว่า กระสุนที่ใช้ยิงถล่มนายสนธิมาจากกองทัพบก

วันที่เจ็ด (23 เม.ย.)

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ออกมายอมรับว่า กระสุนที่ใช้ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิงและได้มีการรั่วไหลออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบว่าเป็นกระสุนมาจากหน่วยใด

ขณะที่ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวยอมรับเช่นกันว่า กระสุนที่มีตราประทับดังกล่าวนั้นมีใช้ในหน่วยงานทางทหาร ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่จะมีการเล็ดลอดนำออกไปภายนอกหรือไม่นั้น คงตอบได้ยาก ขณะที่ก็ยืนยันว่าหน่วยงานทางทหารนั้นก็มีขั้นตอนในการควบคุมดูแลการใช้เครื่องกระสุนต่างๆอยู่เช่นกัน

ด้านการสืบสวน ตำรวจได้พยานปากสำคัญซึ่งเห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายก่อเหตุยิงนายสนธิ โดยพยานได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับรูปพรรณสันฐานของคนร้ายได้อย่างชัดเจน และขณะนี้พยานคนดังกล่าวได้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเนื่องจากเกรงพยานจะได้รับอันตราย ขณะเดียวกัน ผบ.ตร.สั่งล้อมคอก ให้ทุกหน่วยเฝ้าระวังตรวจตราอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ดีด้วยเกรงจะมีผู้ไม่หวังดีแอบขโมยไปใช้

ข้อสังเกต : หลังมีรายงานว่า กระสุนที่ยิงนายสนธิ เป็นกระสุนจากกองทัพบกจน พล.อ.อนุพงษ์ออกมายอมรับว่ามาจากกองพลทหารราบที่ 9 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.อนุพงษ์เคยระบุว่า เหตุการณ์ยิงถล่มนายสนธิด้วยอาวุธสงครามเป็นอาชญากรรมธรรมดา อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวที่ระบุว่า เป็นกระสุนจากกองทัพนั้นออกมาจากฝ่ายตำรวจ นั่นย่อมแสดงว่า ตำรวจคงรู้สึกอึดอัดใจในการทำคดีดังกล่าวพอสมควรเมื่อรู้ว่าเป็นกระสุนจากกองทัพ จนกระทั่ง พล.อ.อนุพงษ์ออกมายอมรับ การสืบสวนจึงเริ่มคืบหน้ามากขึ้น

วันที่แปด (24 เม.ย.)

พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ระบุว่า ได้มีการประสานขอข้อมูลไปทางกองทัพบก เพื่อตรวจสอบกระสุนแล้ว และกองพิสูจน์หลักฐานได้ร่วมประชุมเพื่อหาข้อยุติ ส่วนแนววิถีกระสุนนั้น อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วนเช่นกัน โดยจำนวนรถยนต์ที่ใช้ก่อเหตุนั้นมีไม่ต่ำกว่า 2 คัน และคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุอยู่ที่ประมาณ 5-7 คน ส่วนปืนที่ยิงกระสุนระเบิดนั้นยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเครื่องยิงแบบ เอ็ม 203 หรือ เอ็ม 79

มีรายงานข่าวเรื่องกระสุนของกองทัพบกด้วยว่า กรณีปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ มาจากกองพลทหารราบที่ 9 นั้น เบื้องต้นพบว่าเป็นของหน่วย ร.9 พัน 1, ร.9 พัน 3 และ ร.29 พัน 2 ซึ่งอาจเล็ดลอดออกไประหว่างการฝึกซ้อม เพราะการควบคุมค่อนข้างยากลำบากในทางปฏิบัติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง โดยทางทหารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ระบุแต่เพียงว่าหากข้อเท็จจริงปรากฏจะออกมาชี้แจงให้สาธารณชนได้รับทราบทันที

ด้านแนวทางการสืบสวน พบว่า การตรวจสอบปลอกและหัวกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่พบจุดเกิดเหตุ เพื่อตามหาอาวุธปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ยิงถล่มนายสนธิ เนื่องจากกระสุนชนิดดังกล่าวมีใช้เฉพาะในราชการทหาร จึงต้องให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงประสานหารือการตรวจสอบก่อน ทั้งนี้ ปืนเอ็ม 16 ที่ใช้ในค่ายทหารนั้นจะมีการเบิกใช้ตามอัตราการจัดยุทโธปกรณ์ ไม่ได้พกติดตัวในที่สาธารณะ

ต่อมา พล.ต.อ.พัชรวาท ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงคดีว่า คดีนี้เป็นความรับผิดชอบของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ซึ่งความคืบหน้าและรายละเอียดของคดียังไม่ได้มีการพูดคุยกันเนื่องจากเพิ่งมอบหมายให้รับผิดชอบเพียงไม่กี่วัน ส่วนกรณีที่พบปลอกกระสุนเป็นของกองทัพนั้น ข่าวที่ออกมาก็คือข่าว ยังไม่ได้มีการตรวจพิสูจน์หลักฐานยืนยันว่าจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ยังไม่ทราบ ส่วนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ออกมายอมรับว่าเป็นอาวุธของทหารนั้น ไม่รู้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ยอมรับอย่างไรเพราะไม่ได้ฟัง

ขณะเดียวกัน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. เรียกประชุมชุดสืบสวนในส่วนของบช.ก. โดยได้วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ และช่วย บช.น. หาพยานหลักฐาน

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนได้รับเบาะแสว่านักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง ผู้กว้างขวางใน จ.ลพบุรี มีสายสัมพันธ์กับทหารหน่วยรบพิเศษหลายหน่วย ซึ่งทราบว่าก่อนเกิดเหตุได้มีการเรียกทหารหน่วยรบพิเศษจาก จ.ลพบุรี 3 นาย และปราจีนบุรี 2 นายเข้ามาในพื้นที่ มารับงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงลงพื้นที่เพื่อไปตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่หรืออาจเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งกันเอง

ข้อสังเกต : หลังจากที่ ผบ.ทบ.ออกมายอมรับว่า เป็นกระสุนจากกองทัพบกนั้น ทำให้การสืบสวนเริ่มมีความชัดเจนขึ้น เริ่มมีตัวละครผุดมาหลายคน ในขณะที่ ผบ.ตร.เอง กลับโยนให้เป็นเรื่องของ พล.ต.อ.ธานี แม้กระทั่งเรื่องปลอกกระสุนที่ ผบ.ทบ.ออกมายอมรับแล้ว แต่ทางผบ.ตร. ก็ยังปฏิเสธ เสมือนจะทำให้เกิดความสับสนขึ้นอีก ทั้งที่ตนเองดำรงอยู่ในฐานะผู้นำสูงสุดของหน่วย

วันที่เก้า (25 เม.ย.)

เวลา 14.30 น. ที่ บช.น. พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.เจตน์ มงคลหัตถี ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและสอบสวน (ผบช.กมส.) พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.พร้อมชุดสืบสวน ไปประชุมกันโดยพร้อมเพรียง และหลังการประชุม พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เพื่อเรียกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดี มาเพื่อติดตามผลการสั่งงานที่ได้รับมอบหมาย โดยพบว่าคดีมีความคืบหน้าไปมาก ทั้งในส่วนของมือปืน พยานหลักฐานที่รวบรวมได้ก็มีความชัดเจนมากขึ้น มั่นใจว่าพยานหลักฐานที่มีอยู่นั้นสามารถนำไปสู่การจับกุมคนร้ายได้แน่นอนแต่ยังไม่ระบุระยะเวลาว่าจะเป็นเมื่อไร

พล.ต.อ.ธานี กล่าวว่า ยังไม่สามารถระบุได้ว่า คดีนี้ มีคนมีสีเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ แต่ขณะนี้ทางตำรวจได้ตัดประเด็นการสืบสวนสอบสวนไปหลายประเด็นแล้ว เช่น เรื่องส่วนตัว เรื่องชู้สาว โดยเทน้ำหนักมาที่ประเด็นทางการเมือง ซึ่งรวมทั้งกรณีที่นายสนธิเคยออกมากล่าวโจมตีบุคคลต่างๆ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ไปดูแลเรื่องหลักฐานและขั้นตอนการทำงาน ซึ่งทุกคนก็ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ แบ่งงานทำงานช่วยกันไม่ว่าจะพบเบาะแสที่ไหนก็จะติดตามไปตามพยานหลักฐานที่ได้มา

ขณะที่ พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวสั้นๆว่า เรื่องคดีต้องสอบถาม พล.ต.อ.ธานี ส่วนเรื่องการจับกุมนั้นภายใน 7 วันจะมีข่าวดี "ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ภายใน 7 วันนี้แหละจะมีข่าวดี ซีเรียสทอล์กนะเนี่ย" พล.ต.ท.อัศวิน กล่าวโดยย้ำประโยคที่ว่า ซีเรียสทอล์กถึงสองสามครั้ง

ข้อสังเกต : ตำรวจตัดประเด็นเรื่องส่วนตัวและเรื่องชู้สาวทิ้ง และให้น้ำหนักประเด็นการเมือง ทั้ง พล.ต.อ.ธานี ยังระบุชัดเจนว่า พบเบาะแสไม่ว่าที่ไหน ก็จะไปติดตามพยานหลักฐานมา ในขณะที่ พล.ต.ท.อัศวิน ย้ำว่า อีกไม่เกิน 7 วัน จะมีข่าวดี

วันที่สิบ (26 เม.ย.)

พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ให้สัมภาษณ์ว่า การสืบสวนมีความคืบหน้าไปมากพอสมควร แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เนื่องจากเกรงจะกระทบต่อรูปคดี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ขอเวลาอีก 1 สัปดาห์ ในการสรุปวิถีกระสุนและทิศทางการยิงของคนร้าย

ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพล พินิจชอบ ผบก.พฐ. ระบุว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิถีกระสุน เข้าตรวจหาวิถีกระสุนภายในรถโดยสารประจำทาง ขสมก.สาย 53 ซึ่งขณะเกิดเหตุวิ่งสวนกับรถของ นายสนธิ เบื้องต้นพบรอยกระสุนปืนอาก้า บริเวณกระจกด้านหน้า และกระจกข้างคนขับ รวม 2 จุด คาดว่า กระสุนมาจากด้านขวา เข้าทางกระจกข้างไปทะลุกระจกด้านหน้า ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้ไปประมวลกับผลการตรวจสอบรถยนต์ของ นายสนธิ และรถโดยสารประจำทางสาย 30 ที่ได้รับความเสียหายเช่นกัน คาดว่าประมาณ 1 สัปดาห์ จะสามารถสรุปทิศทางการยิงได้

ข้อสังเกต : หลัง พล.ต.อ.ธานี พุ่งประเด็นสาเหตุการยิงนายสนธิไปที่ปมประเด็นการเมือง ตำรวจต่างปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าให้ข่าว โดยเฉพาะชุดสืบสวนชุดใหญ่ต่างลงพื้นที่ควานหาเบาะแสคนร้ายกันหมด ซึ่งเชื่อว่าตำรวจน่าจะได้เค้าลางอะไรบางอย่างบ้างแล้ว

วันที่สิบเอ็ด (27 เม.ย.)

พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น.โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ภาพของรถต้องสงสัยที่ปรากฏบนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งได้มาจากกล้องวงจรปิด ระบุว่า อาจเป็นรถต้องสงสัยของคนร้ายที่ลงมือยิงถล่มรถนายสนธินั้น คณะทำงานชุดคลี่คลายคดีชุดดังกล่าว อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยเบื้องต้นพบว่า อาจเป็นรถกระบะยี่ห้อ มาสด้า สีน้ำเงิน ซึ่งชุดสืบสวนอยู่ระหว่างดำเนินการต่อไป ว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดดังกล่าว จะสามารถเห็นหน้าของคนร้าย หรือทะเบียนรถได้หรือไม่

มีรายงานในวันนี้ว่า มีพยานผู้หนึ่งโทรศัพท์ไปแจ้งให้ชุดสืบสวน ว่า ก่อนจะเกิดเหตุได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนนสามเสน ก่อนถึงที่เกิดเหตุไม่มากนัก จากนั้นถูกรถกระบะ 2 คันขับปาดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และจำได้ว่า รถ 1 ใน 2 คันเป็นรถกระบะโตโยต้า จำทะเบียนได้เพียงว่า เป็นหมวดจังหวัดสระบุรี ในขณะที่อีกคันไม่สามารถจดจำได้ ซึ่งขณะนี้ชุดสืบสวนได้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับศูนย์สืบสวนดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว

ขณะที่ พล.ต.อ.ธานี กล่าวเพียงว่า ยังไม่ได้พบกับ นายสนธิ ก่อนหน้านี้ ให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่าอยู่ระหว่างดำเนินการ ดังนั้นจะไม่พูดแล้ว ถ้าพูดแล้วต้องได้เรื่อง ถ้าไม่ได้เรื่องไม่พูด แต่คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะได้ความชัดเจนเรื่องการสอบสวน

ข้อสังเกต : มีความชัดเจนในเรื่องรถของคนร้ายมากขึ้น แต่ตำรวจยังปิดเงียบถึงความคืบหน้าของคดี

วันที่สิบสอง (28 เม.ย.)

ช่วงเช้า มีข่าวตำรวจลพบุรี จับกุมพ่อค้ายาบ้าได้พร้อมอาวุธปืนอาก้า และได้ส่งอาวุธปืนที่ตรวจยึดได้มายังกองพิสูจน์หลักฐานในทันที กระทั่งเย็นวันเดียวกัน พล.ต.ต.สุรพล พินิชอบ ผบก.พฐ. จึงกล่าวยอมรับว่า เรื่องการส่งอาวุธปืนที่ต้องสงสัยในการนำมาใช้ก่อคดีนั้น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ได้ทำหนังสือเวียนส่งไปยังหน่วยงานของตำรวจเพื่อขอความร่วมมือในการขอให้หน่วยงานตำรวจที่ตรวจพบอาวุธต้องสงสัยที่ใช้ก่อคดียิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่งมาตรวจพิสูจน์ยังกองพิสูจน์หลักฐานแล้วตั้งแต่ 2-3วันที่ผ่านมา โดยขณะนี้ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ได้ทยอยส่งมาตรวจแล้วจำนวน 3 ราย

"อาวุธปืนต้องสงสัยทั้งหมดจะถูกส่งไปยังกลุ่มงานอาวุธและเครื่องกระสุนปืนก่อน ผมจึงยังไม่ทราบว่าอาวุธปืนที่ส่งมาตรวจนั้นมาจากที่ใดบ้าง โดยในเย็นวันนี้ ได้สั่งการให้กลุ่มงานอาวุธและเครื่องกระสุนปืน ทำรายงานเรื่องอาวุธปืนต้องสงสัยที่ได้รับมาให้ ดูก่อน" พล.ต.ต.สุรพลกล่าว

ส่วนการติดตามพยานหลักฐานเพื่อคลี่คลายคดีมีรายงานความคืบหน้าว่า ชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีได้ภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าร้านสะดวกซื้อย่านเทเวศร์ ที่บันทึกภาพรถกระบะมาสด้า ไฟเตอร์ สีน้ำเงิน พร้อมแผ่นป้ายทะเบียนซึ่งมีคนร้ายนั่งอยู่กระบะหลังไว้ได้ ขณะนี้ชุดทำงานอยู่ระหว่างการตรวจสอบแผ่นป้ายทะเบียนว่าตรงกับคำให้การของพยานที่เห็นเหตุการณ์หรือไม่

ขณะเดียวกัน ชุดสืบสวนอีกชุดลงพื้นที่ตรวจหารถกระบะมาสด้า ไฟเตอร์ สีน้ำเงินในพื้นที่รอบกรุงเทพมหานคร พบว่ามีทั้งหมด 19 คัน และมีรถต้องสงสัย 1 คัน ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสิบเอกรายหนึ่งใน จ.ราชบุรี ซึ่งยังไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดในการใช้รถในวันเกิดเหตุได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับทางทหารเพื่อเข้าตรวจค้นบ้านพัก และสอบปากคำ

ข้อสังเกต: เหตุการณ์ผ่านมาได้ 12 วันทั้งเรื่องอาวุธปืนและพาหนะของคนร้าย เริ่มมีความชัดเจนขึ้น ในขณะที่ตำรวจยังคงปิดปากเงียบ ไม่มีการแพร่งพรายให้สื่อรู้ระแคะระคายว่าลงพื้นที่ไหน ซึ่งต่างจากคดีอื่น ที่มักมีความคืบหน้าของคดีชัดเจนมากขึ้น

วันที่สิบสาม (29 เม.ย.)

พล.ต.ต.สุรพล พินิจชอบ ผบก.พฐ.กล่าวยอมรับอีกครั้งว่า ตำรวจทุกพื้นที่ที่พบอาวุธปืนต้องสงสัยที่ใช้ในการก่อเหตุยิงนายสนธิ ได้ทยอยส่งมาตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกับรอยกระสุนบนรถของนายสนธิที่ถูกยิงแล้ว ตามคำสั่งของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ที่ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 1-8 แต่ละสถานีว่าอาวุธปืนสงครามทั้งชนิด อาก้า เอชเค และเอ็ม 16 ที่ถูกนำมาใช้ยิง และปืนสงครามที่ยังไม่ถูกตรวจยึดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2552 จนถึงปัจจุบัน ล่าสุด มีอาวุธปืนสงครามต้องสงสัยตำรวจพื้นที่ต่างๆ ส่งมาที่กองพิสูจน์หลักฐาน มีจำนวน 3 กระบอก เป็นต่างจังหวัดทั้งหมด คือ จ.ลพบุรี จ.ระยอง และ จ.อุบลราชธานี

ส่วนความคืบหน้าในการคลี่คลายคดี ปรากฏรายงานว่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28-29 เม.ย.ไม่มีการประชุมใหญ่ชุดคลี่คลายคดี อันเนื่องมาจาก ชุดทำงานและสายสืบส่วนใหญ่ ถูกส่งลงไปยังพื้นที่ จ.กาญจนบุรี เกือบครบชุด มีเพียงชุดสืบสวนชุดเดียวที่อยู่ในเขตนครบาล เพื่อเร่งคลี่คลายภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งจับภาพรถกระบะมาสด้าไว้ได้ ซึ่งล่าสุด มีรายงานว่า ชุดสืบสวนชุดนี้ ได้ข้อสรุปแล้วว่า รถกระบะมาสด้าคันดังกล่าว ใครเป็นเจ้าของผู้ครอบครอง และอยู่ระหว่างการสืบสวนในเชิงลึกต่อไปว่า เจ้าของผู้ครอบครองรถกระบะมาสด้าคันดังกล่าว รู้จักและมีความสนิทชิดเชื้อกับทหารคนใดหรือไม่

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ชุดคลี่คลายคดีชุดใหญ่ที่ลงพื้นที่ จ.กาญจนบุรี นั้น สามารถรู้ตัวคนร้าย ทั้งคนรับงาน ทีมยิง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมีสีแล้ว โดยรายงานข่าวระบุว่า แม้จะรู้ตัวทีมยิงแล้วก็ตาม แต่เชื่อว่าไม่น่าจะสามารถสาวถึงผู้บงการตัวใหญ่ได้ เนื่องจากการใช้ทีมงานให้ลงมือสังหารนายสนธิในครั้งนี้เป็นเพียงมือสมัครเล่น เพื่อจุดประสงค์ไม่ให้ต้องการสาวถึงผู้บงการตัวจริง ในขณะเดียวกันไม่ได้มีการจ้างวานในลักษณะเหมือนการจ้างวานมือปืนรับจ้างทั่วไป แต่เป็นการสั่งบังคับเสียมากกว่าว่า “งานนี้ต้องทำ” เพราะหากมีการจ้างวานใช้มือปืนอาชีพแล้ว ภายหลังจากเสร็จงานความเคลื่อนไหวต่างๆ ย่อมไม่สามารถหลุดลอดสายตาของตำรวจได้

ช่วงค่ำวันเดียวกัน ปรากฏรายงานข่าวว่า ตำรวจได้ควบคุมตัว ผู้ต้องสงสัยได้แล้วรวม 3 คน เป็นทหาร 2 คน และ พลเรือน 1 คน โดยขณะนี้ ถูกนำตัวมาสอบสวน ณ ที่แห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อทำการสอบสวน ขยายผลไปยังผู้เกี่ยวข้อง และผู้บงการใหญ่

การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยครั้งนี้สืบเนื่องมาจากการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากทางสืบสวนเชื่อว่ามีนายทหารนอกราชการที่เคยก่อคดีอื้อฉาว ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของ เสธ.คนดัง ที่เรืองอำนาจในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยทางสืบสวนเชื่อว่านายทหารนอกราชการคนดังกล่าวรับงานมาและได้ประสานให้นักการเมืองระดับชาติในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีความใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้จัดหาทีมมือปืน ในลงมือปฏิบัติการในครั้งนี้

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ชุดสืบสวนเชื่อมั่นว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัยกลุ่มนี้มีความเป็นไปได้ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ที่จะเป็นกลุ่มคนร้ายตัวจริง ส่วนจะโยงไปยังผู้บงการใหญ่ได้หรือไม่ ชุดสืบสวนยังไม่มั่นใจว่าพยานหลักฐาน และการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยจะโยงไปถึงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การจับกุมผู้ต้องสงสัยในครั้งนี้สอดคล้องกับการให้ข่าวของ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่าหลังร่วมประชุมคณะทำงานคลี่คลายคดีว่า เรื่องคดีต้องสอบถาม พล.ต.อ.ธานี ส่วนเรื่องการจับกุมนั้นภายใน 7 วันจะมีข่าวดี

ข้อสังเกต : จิ๊กซอว์แต่ละตัว เริ่มถูกนำมาเชื่อมต่อกันโดยมีเค้าลางที่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้ กระทั่งมีข่าวการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 3 คน และผู้อยู่เบื้องหลังที่มีความเกี่ยวพันกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

วันที่สิบสี่ (30 เม.ย.)

เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. เดินทางเข้าสอบปากคำนายสนธิที่บ้านพระอาทิตย์ โดย นายสนธิ กล่าวภายหลังให้ปากคำเสร็จว่า ในวันนี้ พล.ต.อ.ธานี ได้นำพนักงานสอบสวนมาสอบปากคำ ซึ่งได้ให้การไปหมดแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามคำให้การที่ปรากฏ และจะไม่ขอให้ปากคำใดๆ เพิ่มเติม เพราะมีความเชื่อมั่นและไว้ใจคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้ ที่มี พล.ต.อ.ธานี เป็นหัวหน้าทีม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการทางคดีอย่างไร และจะหาตัวผู้ต้องหาได้เมื่อไหร่ ตนไว้ใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งขณะนี้ไม่ได้มีการสอบถามเลยว่าคดีไปถึงไหนแล้ว เนื่องจากจะเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่ เชื่อว่าไม่น่าจะมีการจับแพะ ส่วนใครเป็นคนทำนั้น ในวันพรุ่งนี้ (1 พ.ค.) เวลา 12.30 น.จะแถลงให้ทราบอีกครั้ง

ขณะที่ พล.ต.อ.ธานี กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยคนใดไว้ ชุดสืบสวนไม่ว่าทีมใดก็ตามยังไม่มีการจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสิ้น โดยตอนนี้มีแต่พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้น ส่วนเรื่องผู้บงการหรือผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุในครั้งนี้ ยังไม่พบว่ามีคนมีสีเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะนี้ได้ให้คณะทำงานเร่งตรวจสอบ หลักฐานต่างๆ ตามจุดเกิดเหตุและกล้องวงจรปิดต่างๆ ส่วนเรื่องกระสุนปืนที่พบในที่เกิดเหตุ ขณะนี้ได้ให้ ผบช.น.ทำหนังสือ ประสานไปยังกองทัพบกแล้ว ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่จะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจึงจะทราบผล

พล.ต.อ.ธานี กล่าวต่อว่า สำหรับผลการตรวจพิสูจน์จากกองพิสูจน์หลักฐาน ที่จะออกมาเปิดเผยในวันนี้นั้นจะต้องขอเลื่อนไปก่อนเป็นวันพรุ่งนี้ เนื่องจากติดขัดหลักฐานบางอย่าง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนในคณะทำงานได้พยายามเร่งคลี่คลายคดีกันอย่างเต็มที่ มีการส่งกำลังกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆเพื่อหาข่าว แต่ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มใดเป็นพิเศษ ส่วนเรื่องอาวุธปืนสงครามได้มีคำสั่งการประสานไปยังตำรวจทั่วประเทศ ว่าหากมีคดีที่เกี่ยวกับการใช้อาวุธสงคราม หรือตรวจยึดอาวุธสงครามได้ ก็ให้ส่งเรื่องเข้ามาเพื่อให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานนำอาวุธไปตรวจสอบ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลอบยิงนายสนธิหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ส่งมาเพียงแค่ 3 รายเท่านั้น จริงๆแล้วจะต้องมีมากกว่านี้ แต่ตนจะเร่งตรวจสอบให้เร็วที่สุด

ข้อสังเกต : นายสนธิแสดงความมั่นใจในตัว พล.ต.อ.ธานี หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ ในขณะที่พล.ต.อ.ธานีเอง กล่าวยอมรับตามแนวทางการสืบสวนสอบสวน ที่ปรากฏเป็นกระแสข่าวต่างๆมาโดยลำดับ ไม่ว่าเรื่องการตรวจสอบอาวุธปืนสงคราม หรือการส่งทีมงานลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่เกี่ยวพัน ยกเว้นแต่ได้ปฏิเสธเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเท่านั้น


วันที่สิบเจ็ด (3 พ.ค.)

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาให้สัมภาษณ์เหตุเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นครั้งแรก โดยระบุว่า ประเด็นในการลอบสังหารครั้งนี้ แยกได้เป็น 2 มิติ คือ 1.การลอบสังหารในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน ถือเป็นการคุกคามสื่อที่ไม่เคยมีมาก่อน และ 2.คือ ในฐานะแกนนำมวลชนที่ต่อสู้เรียกร้อง เพราะการกระทำที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และประเด็นการลอบสังหารไม่ใช่เรื่องส่วนตัว และเปรียบเสมือนเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างว่าใครที่มีอำนาจ มีอาวุธในมือสามารถที่จะทำอะไรก็ได้

"คนร้ายที่ยิง ผมยืนยันชัดด้วยสายตาว่า ถูกยิงจากคนที่ถูกฝึก เพราะเป็นท่านั่งประทับยิง เป็นท่าที่ฝึกทางการทหาร ใช้รถจำนวน 4 คัน มีผู้ที่กระทำการประมาณ 10-16 คน เชื่อว่า การกระทำครั้งนี้เป็นการร่วมมือกันของผู้ที่มีอำนาจ และคนที่ลงมือ รู้เส้นทางเดินรถ มีรถจอดรอเป็นจุด แต่การยิงไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นขบวนการล่าสังหาร เชื่อว่า เป็นฝีมือของทหารบางคน ไม่ใช่ฝีมือของกองทัพ เชื่อว่ากองทัพไม่ทำเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้"

นายสนธิระบุด้วยว่า ประเด็นคือที่ว่าใครเป็นคนทำนั้น การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ขบวนการทำร้ายพันธมิตรฯเป็นขบวนการที่จะเอาชีวิต เป็นกระบวนการข่มขู่ต่อเนื่อง การยิง เอ็ม 79 เข้าใส่จนมีพันธมิตรเสียชีวิตไป 4 คน จนแหล่งข่าวของพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นทหารเปิดเผยว่า กลุ่มคนซึ่งยิง เอ็ม 79 เข้าในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง และศาลรัฐธรรมนูญ นั้น เป็นกลุ่มคน คนเดียวกัน และเตรียมการที่จะยิงเข้าใสต่อไปอีก และมีการส่งข้อมูลไปยัง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เรียบร้อยแล้ว และเชื่อว่าข้อมูลที่ได้เป็นความจริง และเตรียมดำเนินการจับกุม ซึ่งเป็นทหาร ยศ จ่าสิบเอก และข้อมูลนี้ถือเป็นข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับการเปิดเผย

"จากกระแสข่าวว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบครั้งนี้ คือ ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. นั้น ผมคิดว่าไม่ใช่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ และขอสมมตินะว่า หากเป็นบุคคลเหล่านี้จริงก็ขออโหสิกรรม ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น"

วันที่ ยี่สิบ ( 6พ.ค.)

หลังจากที่นายสนธิ ออกมาให้สัมภาษณืเป็นครั้งแรก จากนั้นมาอีก 3 วัน พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผบ.ตร. จึงออกมากล้าวถึงรูปคดี ภายหลังการประชุมพนักงานสอบสวนในคดีดังกล่ว โดยได้แสดงความมั่นใจว่า คดีนี้ จะต้องเสร็จก่อนที่ตัวเองจะเกษียณภายใน 4 เดือนข้างหน้า พร้อมทั้งย้ำว่า คดีมีความคืบหน้า แต่ปฏิเสธเรื่องสตรีผู้สูงศักดิ์ และไม่รู้เรื่องที่นายสนธิแฉว่ามี จ.ส.อ.เป็นมือยิงเอ็ม 79 ถล่มใส่ ขณะที่ยังไม่ได้รับคำยืนยันจากกองทัพว่ากระสุนปืน RTA มาจาก พล.ร.9 หรือไม่

พล.ต.อ.ธานี ได้กล่าวถึงการที่นายสนธิออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยว่า เราก็รับฟัง แต่ต้องตรวจสอบ บางคนก็มาให้ข่าวทางโน้นทางนี้เราก็รับฟัง แต่ก็ต้องตรวจสอบว่าจริงเท็จอย่างไร เป็นแนวทางการสืบสวนอยู่แล้ว เราต้องดูความเป็นไปได้ ก่อนที่จะพูดถึงคนบงการเราต้องจับคนร้ายให้ได้ก่อน แล้วค่อยสาวไปว่าเป็นของใคร ตามขั้นตอน

วันที่ ยี่สิบเอ็ด (7 พ.ค.)

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ออกมาให้สัมภาษณ์ ถึงคดีเพียงว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามปิดคดีให้ได้โดยเร็ว ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ระดมกำลังทั้งฝ่ายสืบสวนและสอบสวนเข้าคลี่คลายคดีอย่างเต็มที่ในทุกประเด็น แต่จะมีข่าวดีในเร็วๆนี้หรือไม่ต้องไปสอบถาม พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.ที่ตนเองมอบหมายให้เข้าไปควบคุมการสืบสวนสอบสวน

วันที่ ยี่สิบหก (12 พ.ค.)

พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเรียกประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนทุกนาย ซึ่งประกอบด้วย กก.สส.น.1-9 และ ศูนย์สืบสวน บช.น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าในการสืบสวน 2 ประเด็นหลักที่ได้มอบให้ไป

พล.ต.อ.ธานี กล่าวภายหลังการประชุม ว่า ได้เรียกประชุมเพื่อติดตามงานที่สั่งการไป ซึ่งต้องรายงานภายใน 5 วัน และได้ครบกำหนดวันนี้ โดยงานที่มอบไปก็ทำได้เยอะมาก ในกรอบเวลาที่กำหนด ทั้งที่เป็นวันหยุด โดยสั่งให้ไปดูพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะนี้เท่าที่มียังไม่สามารถโยงถึงใครได้กำลังรวบรวมอยู่ ต้องรอให้พยานหลักฐานที่สั่งการไปครบถ้วนสมบูรณ์ เสียก่อน ตอนนี้ยังขาดอีกหลายอย่างยังไม่ครบตามที่สั่งการไป ต้องใช้เวลา

"ขณะนี้ยังไม่มีการพาผู้ต้องสงสัยมาสอบ เพราะคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้ทำตามขั้นตอน กระบวนการกฎหมายทุกอย่าง ไม่มีการทำนอกลู่นอกทาง ถ้าได้พยานหลักฐานชี้ชัดได้ก็จะมีข่าวดี ตอนนี้พยานหลักฐานที่เกี่ยวกับคดียังไม่ครบถ้วน หลายอย่างยังไม่ได้ รวมถึงภาพแท็กซี่ต้องสงสัยที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด ก็ยังไม่ได้เลย ส่วนจะเกี่ยวข้องอย่างไรต้องเอามาดูเพราะว่าใกล้เคียงในตอนเกิดเหตุ" พล.ต.อ.ธานี กล่าวและว่า แม้พยานหลักฐานยังได้ไม่ครบ แต่การสืบสวนสอบสวนก็น่าพอใจเพราะเดินมาได้เยอะแล้ว ขณะนี้ถือว่าคืบหน้า ไม่ตัน ส่วนชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร.นั้นก็คุยกันตลอด คืบหน้าไปพอสมควร โดยชุดสืบสวนทุกชุดแบ่งงานกันไปทำเพื่อให้ได้ข้อมูลรวดเร็ว ยืนยันว่าไม่มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย

ข้อสังเกต : วันที่ 17 พ.ค.นี้ ถือเป็นวันครบรอบ 1 เดือนพอดิบพอดี สำหรับคดีลอบสังหารนายสนธิ ตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ ถือเป็นคดีที่โด่งดังที่สุด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ในด้านการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีในช่วงสัปดาห์แรก สื่อทุกสื่อยังคงเกาะติดสถานการณ์การคลี่คลายคดีของตำรวจ แต่ทว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป กลับกลายเป็นว่า คดีลอบสังหารนายสนธิ ถือเป็นคดีที่เงียบที่สุด เงียบชนิดที่ไม่มีความคืบหน้า ไม่ปรากฏแม้เพียงเป็นข่าวสั้นของสื่อต่างๆ ซึ่งผิดกับคดีอาชญากรรมในลักษณะเดียวกันที่คนถูกลอบสังหารไม่ได้ชื่อ"สนธิ ลิ้มทองกุล"

จะอย่างไรก็ตาม เรายังคงเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวนที่ชื่อ"พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์" แม้เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือน พล.ต.อ.ธานี ก็จะเปิดหมวกอำลาชีวิตราชการแล้ว แต่เชื่อว่า สุดท้าย ตำรวจจะสามารถลากคออาชญากรและผู้ร่วมขบวนการลอบสังหารทั้งหมดได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม เราก็จะรอ

คนร้ายยิงกระหน่ำร่วม 100 นัด รถยนต์ สนธิ
สนธิ คนดีผีคุ้ม แคล้วคลาด ปลอดภัย
ตำรวจตรวจหาวิถีกระสุน
พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ หัวหน้าทีมสอบคดีลอบฆ่าสนธิ แถลงเร่งติดตามตัวคนร้าย
สนธิ เชื่อพนักงานสอบสวนชุดธานี นำทีมไม่จับแพะ
สนธิ บอกที่รอดตายปาฎิหาริย์ เพราะแขวนพระคุณงามความดี
ธานี การันตีคดีไม่มีตัน ทำเสร็จทันก่อนเกีษยณอีก 4 เดือนแน่
กำลังโหลดความคิดเห็น