xs
xsm
sm
md
lg

5 วันลอบสังหาร “สนธิ” มือปืนลอยนวล-พลเอกชั่วรับงานฆ่า

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

ภาพนายสนธิ ในวันที่ถูกลอบยิงจนได้รับบาดเจ็บ
5 วันผ่านไป...สำหรับการคลี่คลายคดีลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มมีพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ปรากฏ โดยสามารถจดจำรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้ ขณะเดียวกัน ตำรวจได้ออกมายืนยันชัดเจนว่า กระสุนที่คนร้ายใช้ลอบสังหารนายสนธิ ไม่มีใช้ในราชการตำรวจ พร้อมๆ กับเริ่มมีรายงานข่าวว่า ผู้บงการเป็นนายทหารยศ “พลเอก” รับงานมาด้วยค่าเหนื่อยก้อนมโหฬาร!?! ส่วนจะจับกุมมือปืน และผู้บงการได้หรือไม่ ภารกิจในการปิดคดีนี้ คงต้องรอ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.เป็นผู้ให้คำตอบสุดท้าย

วันเกิดเหตุ (17 เม.ย.2552)

เวลา 05.45 น.เช้าตรู่ของวันที่ 17 เมษายน 2552 ไม่มีใครคาดคิดว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเอเอสทีวีผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกคนร้ายกราดยิงเกือบ 100 นัด ที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช สี่แยกบางขุนพรหม ถนนสามเสน แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กทม. ส่งผลให้ นายสนธิ ถูกกระสุนฝั่งลึกในขมับด้านขวาครึ่ง ซม.จำนวน 4 ชิ้น ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณใบหน้าด้านขวายาว 3 ซม. บาดแผลฉีกขาดเล็กน้อยทั่วไปบริเวณข้อมือขวา และบาดแผลถลอกเล็กน้อยทั่วไปบริเวณลำตัวด้านข้างแถบขวา

ในขณะที่ นายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถอาการสาหัส ถูกยิงเข้าที่ทรวงอกด้านขวา และต้นแขนขวาและศีรษะ แพทย์ต้องผ่าาตัดสมอง และผ่าเศษกระสุนทั้ง 3 จุด ที่สมอง ท้ายทอย ทรวงอกขวาและแขนขวา นอกจากนี้ นายวายุพักตร์ มัตทะสิน ผู้ติดตามถูกคมกระสุนถากที่ไหล่ซ้าย บาดเจ็บเล็กน้อย

ในที่เกิดเหตุ ตำรวจพบรถยนต์โตโยต้าเวลล์ไฟร์ สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กทม. ถูกยิงถล่มเป็นรูพรุนทั้งคน บริเวณรอบรถพบปลอกกระสุนปืนอาก้า 64 ปลอก ปลอกกระสุนเอสเค 17 ปลอก ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 ปลอก และยังพบรถยนต์โดยสารประจำทางสาย 53 ที่วิ่งอยู่ใกล้เคียงที่เกิดเหตุถูกกระสุนปืนได้รับความเสียหาย รวมทั้งรถร่วมบริการฯ สาย 30 ถูกกระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 นัด แต่ไม่ระเบิด

เวลา 10.30 น.วันเดียวกัน พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รอง ผบช.น. โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล แถลงว่า เบื้องต้นตำรวจตั้งประเด็นการลอบสังหารนายสนธิไว้กว้างๆ ทั้งเรื่องการเมืองและธุรกิจ ส่วนการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณฯสี่แยกบางขุนพรหมพบว่า ไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นพาหนะที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการได้ ในขณะเดียวกัน ได้สั่งให้ฝ่ายสืบสวนออกติดตามหาข่าวความเคลื่อนไหวในกลุ่มมือปืน แต่ยังระบุไม่ได้ว่า ผู้ก่อเหตุเป็นคนมีสีหรือไม่

เวลาเดียวกัน ที่สน.ชนะสงคราม พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เรียกพล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบก.ศส.บช.น. พ.ต.อ.ขิง แชวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม พร้อมด้วย ผกก.สส.บก.น. 1-9 ผกก.ศส.บช.น. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม เข้าร่วมประชุมคลี่คลายคดี

พล.ต.ท.วรพงษ์ ระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พาหนะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเป็นรถกระบะไม่ทราบทะเบียน และยังไม่ทราบจำนวนคนร้ายที่แน่ชัด นอกจากนี้ จุดเกิดเหตุพบปลอกกระสุน จำนวน 84 ปลอก เป็นอาวุธ 3 ชนิดด้วยกัน ประกอบด้วย ปลอกกระสุนปืนอาก้า 64 นัด ปืนเอชเค 17 นัด และปืนเอ็ม 16 อีก 3 นัด และยังพบระเบิดชนิดเอ็ม 79 เป็นหัวกระสุนที่ไม่ระเบิด ซึ่งหัวกระสุนพุ่งทะลุไปบนรถร่วมบริการฯ สาย 30 ที่วิ่งสวนมา สาเหตุที่กระสุนไม่ทำงานเนื่องจากระยะจุดที่ยิงอยู่ในระยะใกล้เกินไป กระสุนไม่ครบเกลียวรอบทำให้ไม่ทำงาน ส่วนปืนอาก้า 1 แมกกาซีน บรรจุได้ไม่เกิน 30 นัด แต่ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนจำนวนมาก เป็นไปได้ว่ามือปืนอาจจะใช้ 2 แมกกาซีน

“เรื่องอาวุธที่คนร้ายใช้ก่อเหตุนั้น เป็นอาวุธสงคราม แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นคนมีสีหรือไม่ เพราะอาวุธสงครามเช่นนี้ประชาชนทั่วไปก็สามารถมีและหามาได้ เช่นในกรณีของทางภาคใต้ ซึ่งได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ไล่ล่าคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง” พล.ต.ท.วรพงษ์ กล่าว

มีรายงานข่าวในวันเดียวกันระบุว่า ตำรวจกำลังเร่งไล่ล่าหาเบาะแส พร้อมกระจายกำลังตามจับตัวคนร้าย ซึ่งคาดว่าคนร้ายน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 5 คน โดยเป็นทหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งมีความขัดแย้งกันทางการเมือง ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ตัวคนร้ายเร็วๆ นี้

เวลา 17.45 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เรียกประชุมนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ พร้อมกับมีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ตร. ลงไปกับกำดูแลคดี

ข้อสังเกต : ก่อนเกิดเหตุ บนถนนสามเสนนั้น มีกำลังทหารมาประจำจุดบริเวณสี่แยกต่างๆ ตลอดเส้นทาง แต่คนร้ายสามารถเล็ดรอดนำอาวุธสงครามร้ายแรงเข้ามาลงมือปฏิบัติการได้ ทั้งที่อยู่ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซ้ำกล้องวงจรปิด ตามแยกต่างๆ ไม่สามารถจับภาพพาหนะคนร้ายได้ ในขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับแต่งตั้ง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. เข้ามาควบคุมดูแลคดี ทั้งที่มีความไม่โปร่งใสในหมู่สายตาของพันธมิตรฯ และตั้งแต่เกิดเหตุเช้าตรู่จรดค่ำ ไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับคนร้าย

วันที่สอง (18 เม.ย.2552)

เวลา 10.00 น.ที่ สน.ชนะสงคราม พล.ต.อ.จงรัก เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายสืบสวนและปราบปราม เพื่อแบ่งหน้าที่ตรวจสอบพยานหลักฐานและพยานแวดล้อมในคดีลอบสังหารนายสนธิ ในขณะที่ พ.ต.อ.ขิง แขวงวิเศษชัยชาญ ผกก.สน.ชนะสงคราม ยืนยันว่า ในเร็ววันนี้ จะสามารถจับตัวผู้ก่อเหตุได้อย่างแน่นอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานแวดล้อมและภาพจากกล้อง CCTV ในพื้นที่ละแวกใกล้เคียง

ภายหลังการประชุมดังกล่าวราว 1 ชั่วโมง นายอนุรักษ์ พุดซ้อน เจ้าของรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ทอง ซึ่งปรากฏในกล้อง CCTV รถต้องสงสัยที่ตำรวจระบุในเบื้องต้นว่า อาจเป็นยานพาหนะที่คนร้ายใช้ปฏิบัติการ โดยนายอนุรักษ์ ระบุว่า เป็นเจ้าของรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ ดีแมคซ์ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ถง-4071 กทม. ที่ปรากฏในกล้อง CCTV จริง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้น เพราะตนมีอาชีพค้าไข่ไก่ ขณะเกิดเหตุ กำลังเดินทางไปตล่าดบางลำภูกับมารดา และไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2-3 นาที ก่อนจะเงียบไป โดยไม่เห็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งภายหลังพล.ต.อ.จงรักยืนยันว่า รถกระบะของนายอนุรักษ์ ไม่มีส่วนเกี่ยววข้องกับคดี

พล.ต.อ.จงรักระบุว่า เบื้องต้นคาดว่าจะมีคนร้าย 5 คนขึ้นไป และสิ่งสำคัญที่ยืนยันรูปร่างลักษณะคนร้ายก็คือพยานบุคคลใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ซึ่งได้กำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งสอบสวนพยานบุคคลแล้ว ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดช่วงแยกบางขุนพรหมซึ่งเป็นจุดสำคัญนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเสียก่อนเกิดเหตุเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น โดยขณะนี้ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบแล้วว่าเสียเพราะสาเหตุใด ส่วนประเด็นการลอบสังหาร มี 2 ประเด็น ทั้งเรื่องการเมือง และเรื่องส่วนตัว

ส่วนกรณีที่มีพาดพิงว่ามีนายทหารยศ พล.อ. และพล.ต.เป็นผู้ลงมือนั้น พล.ต.อ.จงรัก กล่าวว่า การสืบสวนยังไม่ถึงตรงนั้น ก่อนอื่นจะต้องสอบสวนให้ได้เสียก่อนว่าคนร้ายที่ลงมือคือใคร จากนั้นจึงจะสอบสวนขยายผล และตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของอาวุธ เช่น ปลอกกระสุนที่พบนั้น จะต้องตรวจสอบว่ามาจากประเทศอะไร มีอยู่ที่ไหนบ้างในประเทศไทย จากนั้นจึงค่อยสอบสวนขยายผลต่อไปว่าใครมีส่วนร่วมบ้าง

เวลา 16.00 น. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ประชุมเครียดอีกครั้งกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งภายหลังการประชุมผบช.น.ระบุว่า จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในบริเวณที่เกิดเหตุ และใกล้เคียง พบเบาะแสรถต้องสงสัยที่ใช้ก่อเหตุยิงนายสนธิเป็นรถกระบะสีเข้ม แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ และจากพฤติกรรมของคนร้ายคาดว่าไม่ค่อยชำนาญในการใช้อาวุธ โดยเฉพาะการยิงระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งจากการเทียบเคียงกับคดียิงศาลรัฐธรรมนูญ ที่คนร้ายยิง เอ็ม 79 ถึง 3 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งแรก ระเบิดไม่ทำงาน จากนั้นคนร้ายก็ขับรถมายิงอีกครั้งเป็นรอบที่ 3 จึงระเบิด

“เราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คาดว่ารถกระบะที่ต้องสงสัยยิงถล่มนายสนธิ น่าจะเป็นรถคันเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุยิงศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังพบเบะแสเพิ่มเติมอีกว่าคนร้ายน่าจะขี่รถจักรยานยนต์ขับตามรถของนายสนธิมาจากบ้านพัก และอาจจะโทรศัพท์ให้รถกระบะตามยิงถล่มเมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ เพราะก่อนหน้านี้ทราบว่านายสนธิไม่เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางจากบ้านพักมายังสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี” ผบช.น.กล่าว

ขณะเดียวกัน กองปราบปราม โดยพล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.นำกำลังเข้าคลี่คลายคดี โดยให้นำภาพจากกล้องวงจรปิดที่จับภาพคนร้ายตามแยกต่างๆ มาประมวล พร้อมทั้งนำรถโมเดลมาจำลองเหตุการณ์ตั้งแต่นายสนธิเดินทางออกจากบ้านพักในซอยสุโขทัย 3 นอกจากนี้ กำลังส่วนหนึ่งได้เดินทางไปหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติมทั้งแต่บ้านพักนายสนธิจนถึงบริเวณที่เกิดเหตุ

เย็นวันเดียวกัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. สั่งให้มีการแบ่งงานการรับผิดชอบของรอง ผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด โดยในนครบาลให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ปป.2 เข้ามารับผิดชอบ แทน พล.ต.อ.จงรัก ทั้งคดีที่เกี่ยวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคดีที่เกี่ยวกับแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมถึงลอบสังหารนายสนธิในครั้งนี้ด้วย

ข้อสังเกต : ทันทีที่ พล.ต.อ.จงรัก เข้ามาควบคุมดูแลคดี เริ่มแถลงผ่านสื่อ โดยเขียนเป็นเอกสารข่าว แจกให้กับสื่อมวลชน ก่อนจะเข้าประชุมที่สน.ชนะสงครามด้วยซ้ำว่า เชื่อว่าคนร้ายมีมากกว่า 5 คน พร้อมตั้งประเด็นการลอบสังหาร 2 ประเด็น ทั้งเรื่องการเมือง และเรื่องส่วนตัว ในขณะที่การสืบสวนเพื่อหาตัวคนร้าย กลับไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งทำไม เพียงแค่วันเดียว พล.ต.อ.พัชรวาท ถึงต้องมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงให้ พล.ต.อ.ธานี ลงมาควบคุมคดีแทน พล.ต.อ.จงรัก โดยไม่ได้เป็นการออกคำสั่ง สั่งการโดยตรง แต่เป็นการสั่งให้มีการแบ่งงานรับผิดชอบของรอง ผบ.ตร.ใหม่ทั้งหมด ประเด็นนี้ มีนัยอย่างไร

วันที่สาม( 19 เม.ย.2552)

เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เรียกประชุมในระดับ บช.น.อีกทั้งรอง ผบช.น. และผบก. 1-9 พร้อมศูนย์สืบสวนนครบาล พร้อมกล่าวว่า ตำรวจสันนิษฐานว่าก่อนเกิดเหตุ คนร้ายขับรถกระบะออกมาจากบริเวณสี่แยกเทเวศร์แล้วเลี้ยวซ้าย แต่คนร้ายไม่ได้ขับรถตามมาตั้งแต่แรก น่าเชื่อว่าคนร้ายดักซุ่มอยู่ก่อนจุดเกิดเหตุถึงแยกเทเวศร์ เมื่อรถนายสนธิมาถึงแยกนั้น รถคนร้ายก็ออกไปก่อน แสดงว่าคนร้ายต้องทราบว่า รถนายสนธิออกมาเมื่อเวลาไหน โดยมีอาวุธปืนทั้งหมด 6 กระบอก แต่ปืนเอ็ม 79 นั้นยังไม่ทราบว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับปืนเอ็ม 16 หรือเป็นคนละกระบอก ส่วนคนร้ายนั้นคาดว่ามีประมาณ 6 หรือ 7 คน และรถที่คนร้ายใช้นั้นคาดว่ามีประมาณ 2 คัน ทั้งหมดเป็นรถปิกอัพ ทั้งนี้จะได้ประสานไปยังผู้ที่เชี่ยวชาญหรือแฟนพันธุ์แท้รถปิกอัพ เพื่อให้มาดูภาพว่ารถที่คนร้ายใช้เป็นรถกระบะยี่ห้อและรุ่นอะไร

วันเดียวกันที่ สน.ชนะสงคราม พ.ต.ท.พงษ์นเรศวร์ ตันติวัฒนา นักวิทยาศาสตร์ (สบ 3) กลุ่มงานตรวจสถานที่เกิดเหตุ กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ เดินทางเข้าตรวจสอบล้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าอัลพาร์ด สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กทม.ของนายสนธิอีกครั้ง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม และเจ้าหน้าที่ได้นำยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ ถอดออกมาตรวจสอบร่องรอยว่ายางรถยนต์ทั้ง 4 เส้นถูกวางเรือใบก่อนที่จะเกิดเหตุ หรือคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์เพื่อต้องการหยุดรถ ก่อนลงมือกระหน่ำยิงนายสนธิด้วยอาวุธสงครามนานาชนิด

จากการตรวจสอบพบว่า ล้อหน้าด้านขวามีหัวกระสุนปืนอาก้า 1 นัด มีรอยถูกยิง 4-5 รู ล้อหน้าด้านซ้ายไม่พบหัวกระสุน มีรอยถูกยิง 2 รู ล้อหลังด้านขวา พบเศษโลหะ 1 ชิ้น มีรอยถูกยิง 2-3 รู และล้อหลังด้านซ้ายพบหัวกระสุน 1 นัด รอการพิสูจน์ว่าเป็นหัวกระสุนชนิดใด ทั้งนี้ จากการตรวจสอบในเบื้องต้น ทราบว่า รถของนายสนธิ ถูกยิงขณะกำลังแล่นอยู่ จนยางแตกทั้ง 4 ล้อ ทำให้รถหยุด จากนั้นคนร้ายได้ลงมือสาดกระสุนใส่จากส่วนบนของตัวรถ ไล่ลงสู่ตัวถังด้านล่าง แต่อย่างไรก็ตามจะต้องรอผลการตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง

ค่ำวันเดียวกัน มีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า มีข่าวจะมีการลอบสังหารแกนนนำพันธมิตรฯ 2 คน 2 ส. โดยคนแรก คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ส่วนอีกคนน่าจะเป็น นายสุริยะใส กตะศิลา เพราะทั้งสองถือเป็นกลไกสำคัญของพันธมิตรฯ โดยเฉพาะนายสนธินั้นเป็นแกนนำคนสำคัญ ประกอบกับเป็นเจ้าของ ASTV ซึ่งเป็นกระบอกเสียงและหัวใจสำคัญในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ หากไม่มีนายสนธิ ไม่มี ASTV พันธมิตรฯ ก็จะระส่ำระสาย และอ่อนกำลังไปในที่สุด ในขณะที่ นายสุริยะใส นั้นเป็นผู้ประสานงานที่มีบทบาทสำคัญในการประสานเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรฯ เพื่อเคลื่อนไหวกดดันระบอบทักษิณในวงกว้าง และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการให้ข่าวตอบโต้เปิดโปงแผนของฝ่ายตรงกันข้ามมาโดยตลอด และเมื่อการปฏิบัติการลอบสังหารนายสนธิ ผิดพลาด เพราะนายสนธิรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ค่าหัวของ 2 ส.เพิ่มจาก 5 แสน เป็น 3 ล้านบาท!

ข้อสังเกต : หลังจาก พล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมคดี ตำรวจเริ่มประมวลเหตุการณ์ พยายามตรวจสอบหาพาหนะที่คนร้ายใช้ ทั้งยังนำล้อรถยนต์ของนายสนธิคันที่เกิดเหตุไปตรวจสอบอย่างละเอียดว่าถูกยิง หรือโดนตะปูเรือใบหรือไม่

วันที่สี่ (20 เม.ย.2552)

เวลา 09.30 น.พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.เรียกประชุมพนักงานสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และคดีคนร้ายลอบยิงนายสนธิ โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ เป็นผู้สรุปความคืบหน้าของคดีและแนวทางการสืบสวนสอบสวน ให้ พล.ต.อ.ธานี รับทราบ เพื่อใช้ประกอบในการกำหนดกรอบการทำงาน

ทั้งนี้ มีรายงานระบุว่า ภายหลังจากที่ พล.ต.อ.ธานี เข้ามาควบคุมดูแลคดีดังกล่าวแล้ว ชุดสืบสวนมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเป็นประเด็นหลัก โดยเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนมีสี ภายใต้การสังกัดของ พล.อ.(พ.) นอกราชนายหนึ่ง รวมทั้ง เสธ.คนดัง โดยแนวทางสืบสวนพบว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากกลุ่มมือปืนที่ก่อเหตุใช้ลักษณะแบบกองโจรลอบโจมตี ซึ่งกลุ่มอิทธิพลคนมีสีกลุ่มดังกล่าวมีความถนัด ส่วนประเด็นเรื่อง “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่มีนักการเมืองชื่อดังถูกโยงถึง ทางชุดสืบสวนก็ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน และเชื่อว่าหลังจาก พล.ต.อ.ธานี ได้รับทราบความคืบหน้าของคดีแล้ว ประเด็นการสังหารและกลุ่มมือปืนจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

พล.ต.อ.ธานี กล่าวภายหลังการประชุมว่า คดีมีความคืบหน้าไปพอสมควร มีการสอบปากคำพยานไปหลายปากแล้ว โดยในส่วนของการรวบรวมพยานหลักฐานก็มีความคืบหน้าไปพอสมควร ซึ่งหลักฐานสำคัญในคดีนี้ คือ ภาพจากกล้องวงจรปิด และของกลางที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งทำให้สืบสวนต่อไปได้ ส่วนภาพรถกระบะต้องสงสัยที่พบในกล้องวงจรปิดว่าเป็นของคนร้ายหรือไม่นั้น ต้องดูให้ละเอียดรอบคอบก่อนยืนยันว่าใช่หรือไม่ใช่

“ขณะนี้ยังไม่สามารถเจาะจงกลุ่มคนร้ายที่ลงมือได้ ส่วนประเด็นการสังหารเรายังไม่ตัดทุกประเด็น ซึ่งเราต้องนำพยานหลักฐานมาพิจารณาเป็นประเด็นไป ทุกคนจะพยายามทำงานให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องอาวุธปืนของคนร้ายก็ตรวจสอบอยู่ พยายามทำให้เร็ว ทุกคนตั้งใจทำงานให้รวดเร็วอยู่แล้ว” รอง ผบ.ตร.กล่าว

ขณะที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ระบุว่า ได้นำแชมป์แฟนพันธุ์แท้รถมือสอง มาช่วยตรวจสอบภาพรถกระบะต้องสงสัย ที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดทั้ง 2 จุด คือ บริเวณศาลรัฐธรรมนูญ และจุดยิงนายสนธิ เพื่อหาความเชื่อมโยงกันของทั้ง 2 คดี ในเรื่องของยานพาหนะ ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่ารถกระบะต้องสงสัยทั้ง 2 จุด เป็นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ สีดำ เหมือนกัน แต่การตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่า เป็นรถคนละคัน ขณะนี้ที่ยืนยันได้คือ โตโยต้าวีโก้ สีดำ อีกคันไม่ชัดเจนระหว่างฟอร์ดกับมาสด้า เพราะภาพไม่ชัด แต่ทั้งหมดเป็นเพียงรถต้องสงสัยเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นรถของคนร้าย

ผบช.น.ระบุต่อว่า ได้มีการตรวจสอบกล้องCCTV ที่บริเวณแยกบางขุนพรหม ซึ่งเดิมมีข่าวว่ามีคนไปตัด จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพบว่า ตัวกล้องดังกล่าวไม่ได้เสีย สามารถดูภาพเหตุการณ์ แต่ที่เสียคือตัวบันทึก และเป็นของกทม. โดยตัวบันทึกถูกยิงไป 2 นัด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวบันทึกเสีย นอกจากนี้ ตำรวจได้ขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งหมด 206 กล้อง ในวันเกิดเหตุ โดยได้เลือกดูเป็นกล้องๆ ไป ส่วนใหญ่จะดูที่กล้องบริเวณแยกต่างๆ ใกล้ทำเนียบรัฐบาล เช่น แยกวังแดง แยกสวนมิสกวัน แยกพระบรมรูปทรงม้า และยังมีการประสานขอภาพจากกล้องวงจรปิดจากร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ธนาคาร และทางด่วนทุกจุดมาตรวจสอบด้วย

เวลา 20.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. แถลงข่าวผ่ายรายการถ่ายทอดสดทางช่อง 11 ระบุถึงคดีลอบยิงนายสนธิเพียงสั้นๆว่า “เป็นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้น และอยู่ในขั้นสอบสวนสืบสวน แต่ยืนยันว่า สตช.ตั้งใจจะทำให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว” จากนั้นให้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. ชี้แจงแถลงไขแทน เหมือนกับที่ พล.ต.ท.วรพงษ์กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องรถคนร้ายและกล้อง CCTV

ต่อมาเมื่อเวลา 21.00 น. ที่บริเวณจุดเกิดเหตุซึ่งคนร้าย ยิงถล่มนายสนธิ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 พ.ต.อ.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รอง ผบก.พฐ. พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ปิดถนนสามเสน บริเวณหน้าวัดเอี่ยมวรนุช เพื่อทำการจำลองเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มนายสนธิ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ พฐ.ได้ใช้รถตำรวจจอดไว้ในจุดเดียวกับรถยนต์ของนายสนธิในวันเกิดเหตุ และตรวจสอบรอยกระสุนบนพื้นถนน ซึ่งพบว่ามีรอยกระสุนที่ไม่เข้าเป้าหมาย 15 รอย จึงได้ใช้วิธีมาร์กจุดกะเทาะของกระสุนที่พบบนพื้นถนนก่อนใช้เชือกโยงเพื่อหาวิถีกระสุนของคนร้ายว่ามาจากทิศทางใด

พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า การจำลองเหตุการณ์ดังกล่าว มีเป้าหมายหลักเพื่อหาวิถีกระสุนของคนร้ายว่ามาจากจุดใดกันแน่ รวมทั้งจุดที่รถผู้เสียหายและรถคนร้ายจอดอยู่เพื่อนำมาประมวลเข้ากับวัตถุพยานที่พบในที่เกิดเหตุ รวมทั้งคำให้การของพยานที่เห็นเหตุการณ์ว่าสอดคล้องกันหรือไม่เพื่อกำหนดกรอบการสอบสวนให้แคบลง เชื่อว่าผลการจำลองเหตุการณ์น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจะมีการแถลงผลการตรวจสอบให้ทราบในโอกาสต่อไป

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างสืบสวนหากลุ่มคนร้ายที่ลงมือยิงนายสนธิ โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนมีสีที่มีลูกน้องในกลุ่มเคยไปก่อเหตุในพื้นที่ต่างๆ ล่าสุดชุดสืบสวนได้พยานปากสำคัญที่เห็นเหตุการณ์ ขณะที่คนร้ายลงมือก่อเหตุได้นำไปสอบสวนรายละเอียดตำหนิรูปพรรณที่ชัดเจนของคนร้ายแล้ว

ข้อสังเกต : พล.ต.ท.ธานี เริ่มเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเป็นครั้งแรก เริ่มมีชื่อของกลุ่มคนมีสีตกเป็นเป้าที่จะเป็นคนร้าย และภาพจากกล้องวงจรปิด สามารถนำมาประมวลเหตุการณ์ได้ ในที่สุด มีการคาดการณ์ว่า พาหนะของคนร้ายน่าจะเป็นรถโตโยต้าวีโกคันหนึ่ง และอีกคันยังไม่ชขัดเจนว่าเป็นมาสด้าหรือฟอร์ด ในขณะที่ผบ.ตร. แถลงว่า จะเร่งทำคดีให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมมีการจำลองเหตุการณ์หาวิถีกระสุนที่คนร้ายยิง ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาถึง 4 วัน รวมถึงประเด็นสำคัญ ที่ปรากฏมีพยานเห็นรูปพรรณสันฐานคนร้ายขณะลงมือปฏิบัติการณ์

วันที่ห้า (21 เม.ย.2552)

ฝ่ายสืบสวน สน.ชนะสงคราม ได้นำพยานบุคคล ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุสอบปากคำเพิ่มเติม โดยพยานให้การว่า เห็นคนร้าย 2 คน ใส่เสื้อขาว สวมกางเกงลายพราง โดยจำได้ว่า คนหนึ่งตัดผมรองทรงสูง โดยรถคนร้ายขับปาดหน้ารถนายสนธิ แล้ว 2 คนร้ายที่ซุ่มอยู่หลังกระบะท้ายรถ ก็ลุกขึ้นมา โดยคนร้ายคนหนึ่งยืนขึ้นประทับปืน ขณะที่อีกคนหนึ่งลุกขึ้นนั่งประทับปืนเล็งเข้าใส่รถ นายสนธิ แล้วลั่นไกถล่มไม่ยั้ง จากนั้นพากันหลบหนีไป

เวลา 12.00 น. พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผบช.น.ออกมายืนยันว่าจากการตรวจสอบกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุนั้น สามารถตัดไปได้เลยว่าไม่ใช่กระสุนที่ใช้ในหน่วยงานตำรวจอย่างแน่นอน

เวลา 14.10 น. พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ เดินทางเข้าเยี่ยมนายสนธิ ที่ห้องพักผู้ป่วยใน ตึก สก. โรงพยาบาลจุฬาฯ และใช้เวลาเยี่ยมประมาณ 30 นาที ก่อนเปิดเผยสั้นๆว่ามาพูดคุยกับผู้เสียหายเพื่อดูว่าผู้เสียหายจะสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายยังไม่แข็งแรงมากนักจึงยังไม่ได้รายละเอียดอะไร และหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ยังระบุไม่ได้ว่านายสนธิจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้เมื่อไหร่ ส่วนความคืบหน้าของคดีคงต้องรอผลการสืบสวนของพื้นที่ที่มอบหมายไปก่อนหน้านี้ก่อน

ข้อสังเกต : เริ่มมีพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ปรากฏ โดยสามารถจดจำรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้ ขณะเดียวกันตำรวจได้ออกมายืนยันชัดเจนว่า กระสุนที่คนร้ายใช้ลอบสังหารนายสนธิ ไม่มีใช้ในราชการตำรวจ พร้อมๆ กับเริ่มมีรายงานข่าวว่า ผู้บงการเป็นนายทหาร ยศ “พลเอก” รับงานมาด้วยค่าเหนื่อยก้อนมโหฬาร!?!


สภาพรถของนายสนธิ ที่ถูกยิงจนพรุน

นายสนธิ ปลอดภัยและอาการดีขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจำลองเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุ






กำลังโหลดความคิดเห็น