xs
xsm
sm
md
lg

จับตายปมถ่ายเงิน AKS / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังไล่รื้อค้น งบการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง เพราะมีธุรกรรมที่เข้าขายความไม่โปร่งใส และอาจกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทและประชาชนผู้ถือหุ้น จึงออกคำสั่งให้ชี้แจงปมที่น่าสงสัย ซึ่งรวมถึง บริษัท เอเคเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AKS

 AKS ถูกผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตกรณีการพิจารณามูลค่าเงินลงทุนของบริษัท อีโกรนิกซ์ การทำสัญญาขายหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอยี่ โฮลดิ้ง และซื้อคืนในราคาที่สูงกว่า และการจ่ายเงินมัดจำาค่าที่ดิน แต่ยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนั้นในปี 2566 บริษัทลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่อาจถูกเพิกถอนและบันทึกขาดทุนเงินลงทุนทั้งจำนวนในเวลาอันสั้น

ตลาดหลักทรัพย์สั่งให้ AKS ชี้แจงข้อมูลภายในวันที่ 24 กันยายน 2567 และชี้แจงความเห็นของคณะกรรมการบริษัทภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ในประเด็นการพิจารณามูลค่าเงินลงทุน ของ บจ.อีโกรนิกซ์ โดยปี 2565 บริษัทย่อย 99.80% ซื้อเงินลงทุนอีโกรนิกซ์ทั้งหมด 1,200 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการบริษัท เห็นว่าจะสามารถสร้างรายได้และกำไรในอนาคต

แต่ 6 เดือนแรกปี 67 บริษัทไม่มีรายได้ขายจากธุรกิจ ส่วนปี 2566 มีรายได้ขาย 24 ล้านบาท มีขาดทุนขั้นต้น 9 ล้านบาท ขณะที่ต้นปี 2567 บริษัทประเมินมูลค่ายุติธรรมของอีโกรนิกซ์ เท่ากับ 1,164 - 1,445 ล้านบาท

การทำสัญญาขายหุ้น บริษัท วินด์ เอนเนอยี่โฮลดิ้ง ( WEH) และซื้อคืนในราคาที่สูงกว่า โดยเดือนมกราคมปี 2567 บริษัทย่อยที่ AKS ถือหุ้น 100% ขายหุ้น WEH 500,000 หุ้น รวม 200 ล้านบาท

โดยบริษัทมีสิทธิ ซื้อหุ้นคืนภายใน 1 ปี แต่ยังไม่กำหนดราคาและเงื่อนไข โดยเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนพฤษภาคม 2567 บริษัทย่อยทำสัญญาขายหุ้น WEH ทั้งหมด 5 ฉบับ รวม 700,000 หุ้น ในราคา 109 ล้านบาท และทำสัญญาซื้อหุ้นคืนภายใน 1 ปีรวม 130 ล้านบาท ซึ่งราคาซื้อคืนสูงกว่าราคาขาย 21 ล้านบาท

การจ่ายเงินมัดจำค่าที่ดิน และเงินมัดจำค่าหุ้นสามัญ แต่ยังไม่ได้รบัโอนกรรมสิทธิ์ โดยบริษัทย่อยจ่ายเงินมัดจำเพิ่มเติมและปัจจุบันยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งจ่ายเงินมัดจำรวม 387 ล้านบาทระหว่างเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคมที่ผ่านมา และบริษัทมีเงินสด 24 ล้านบาท กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ 253 ล้านบาท แต่เคยมีรายการเงินมัดจำค่าที่ดินซึ่งถูกตั้งค่าเผื่อการไม่ได้รับคืน 850 ล้านบาท และยังคงไม่ได้รับเงินคืน

และการลงทุนในบริษัทจดทะเบียน ที่อาจถูกเพิกถอนและบันทึก ขาดทุนเงินลงทุนทั้งจำนวน ในเวลาอันสั้น โดยวันที่ 15 มีนาคม 2566 บริษัทย่อยซื้อหุ้น บริษัท เอส แอล เอ็ม คอร์ปอเรชั่น (SLM) ซึ่งเป็น บริษัทที่อาจถูกเพิกถอนและถูกหยุดพักการซื้อขายตั้งแต่ปี 2559 จำนวน 700,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 3.60 บาท รวม 2.52 ล้านบาท ไตรมาสที่ 2 และ 3 ปี 2566 บริษัทมีเงินลงทุนหุ้น SLM เพิ่มเป็น 11 ล้านบาท และ 31 ธันวาคม 2566 บริษัท ได้บันทึกขาดทุนเงินลงทุนทั้งจำนวน

ผู้ถือหุ้นรายย่อย AKS จำนวน 27,381 ราย ควรติดตามคำชี้แจงจากฝ่ายบริหารบริษัทฯ เพราะบริษัทยังมีทรัพย์สินอยู่ และเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน แต่ฝ่ายบริหารบริษัท มีพฤติกรรมส่อไปในทางจำแนกทรัพย์สินออก มีวิธีการเข้าข่ายถ่ายเงินของผู้ถือหุ้น ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในบริษัทจดทะเบียนนับสิบแห่ง จนในที่สุดเงินถูกสูบออกจากบริษัทหมดเกลี้ยง จนหุ้นกลายเป็นซากศพโดยสมบูรณ์ 

 AKS มีประวัติโชกโชน เข้ามาจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ครั้งแรกวันที่ 10 พฤษภาคม 2534 เดิมคือ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด หรือ KMC มีนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และเป็นหุ้นตัวแรกที่ถูกตัดสินลงโทษจำคุก คดีปั่นหุ้นตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร้องทุกข์กล่าวโทษเมื่อเดือนเมษายน 2536

ต่อมามีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหญ่ โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ามาถือหุ้นใหญ่ และขายออกหุ้นออกทั้งหมด ก่อนที่หุ้น KMC จะถูกพักการซื้อขายเพียงไม่กี่เดือน เนื่องจากไม่ส่งงบการเงิน หลังจากนั้นเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยมีชื่อของนายฉาย บุนนาค นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาเกี่ยวพัน พร้อมแต่งตัวใหม่ เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ หุ้นกลับเข้ามาซื้อขายอีกครั้งวันที่ 9 ตุลาคม 2560 โดยราคาถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 31 สตางค์ และนับจากวันนั้นจนวันนี้ ไม่มีใครเห็นหุ้น AQ ที่ 31 สตางค์อีกเลย

หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ และโครงสร้างการอีกชื่อ เปลี่ยนเป็นบริษัท เอเคเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AKS พร้อมทีมผู้บริหารรุ่นหนุ่มๆ และประกาศนโยบายทางธุรกิจอย่างสวยหรู แต่ผลงานยังไม่ประจักษ์นักลงทุน ส่วนหุ้นสลบเหมือดอยู่ที่ 1 สตางค์ยาวนาน

ตั้งแต่ยังเป็นหุ้น KMC เปลี่ยนมาเป็น AQ และ AKS สร้างความย่อยยับให้นักลงทุนมาตลอด และมีเพียงกลุ่ม นายวิชัย กฤษดาธานนท์ เท่านั้นที่ต้องชดใช้การบริหารงานที่ไม่สุจริต โดยถูกศาลตัดสินจำคุก 860 ปี ในความผิดฟอกเงินกู้แบงก์กรุงไทย ส่วนนายรัชดาลูกชาย ถูกตัดสินจำคุกหลายร้อยปี

 แต่ยังไม่มีผู้บริหารบริษัทคนใด ต้องรับโทษตามนายวิชัย แม้ทุกยุคหรือทุกครั้งที่การเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่หรือแปลงร่างโดยการเปลี่ยนชื่อ จะมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากได้รับเคราะห์ก็ตาม 

อย่างไรก็ตาม ปมที่ส่อเค้าเข้าข่ายการโยกเงินออกในหลายประเด็นที่ตลาดหลักทรัพย์เข้ารื้อค้นอยู่ อาจทำให้ทีมผู้บริหารรุ่นหนุ่มที่ถูกส่งเข้ามาออกหน้าใน AKS ต้องพบวิบากกรรมหนักหน่วงในชีวิตก็ได้

ผู้ถือหุ้นรายย่อยคงได้แต่ติดตามจุดจบของการรื้อปมเทเงินของ AKS ในครั้งนี้เท่า แต่ไม่มีสิทธิติดตามทวงคืนเงินที่ใส่ลงไปในหุ้น ไม่ว่าจะเป็นยุคหุ้น KMC - AQ หรือแม้แต่หุ้น AKS ที่อาการร่อแร่เต็มที








กำลังโหลดความคิดเห็น