ตั้งแต่ประกาศรายชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ตลาดหุ้นที่กำลังซบเซา เคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทาง กลับสู่ความคึกคักสดใสขึ้นมาทันที โดยดัชนีหุ้นทะยานขึ้นต่อเนื่อง ก่อนจะปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายนที่ระดับ 1,427.64 จุด สร้างจุดสูงสุดใหม่นับจากต้นปี
ดัชนีหุ้นขึ้นมาเคียงข้างกับการที่ น.ส.แพทองธาร ก้าวเข้ารับตำแหน่ง รวมรอบนี้ขยับขึ้นมาประมาณ 138 จุด ซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นรอบใหญ่
ขณะที่วันพฤหัสบดี 5 กันยายนที่ผ่านมา ดัชนีพุ่งขึ้นวันเดียวถึง 38 จุด เป็นสถิติสูงสุดในปีนี้ เช่นเดียวกับมูลค่าซื้อขายหุ้นที่พุ่งทะลุ 1.07 แสนล้านบาท เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของปีเช่นเดียวกัน
กูรูหุ้น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทุกสำนัก ยอมรับว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นในครั้งนี้เกินความคาดหมาย โดยหลายคนออกมาเตือนนักลงทุนให้ระวังการพักปรับฐาน เพราะหุ้นขึ้นมาร้อนแรงมากแล้ว แต่หุ้นกลับพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง
เพราะมีกองหนุนเข้ามาขับเคลื่อนตลาด โดยนักลงทุนต่างชาติซึ่งลดน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทย ขายหุ้นออกมาตลอด แต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมากลับเข้ามาไล่ซื้อหุ้นฝุ่นตลบ วันพฤหัสบดีซื้อกว่า 7 พันล้านบาท และวันศุกร์ซื้ออีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท
แรงซื้อของต่างชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาไกลสุดกู่ จนมีคำถามว่า ต่างชาติจะขนเงินกลับมาไล่ซื้อหุ้นต่อไปหรือไม่ เพราะถ้าต่างชาติยังไหลบ่าเข้ามา หุ้นรอบนี้คงไม่ปิดฉากลงง่ายๆ และอาจวิ่งม้วนเดียวทะลุ 1,450 จุดไปเลย
ปฏิกิริยาความร้อนแรงของตลาดหุ้นครั้งนี้ ถูกนำไปตีความว่า เป็นการตอบรับการที่น.ส.แพทองธาร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจทางการเมืองมากขึ้น และกระตุ้นให้ต่างชาติกลับมาลงทุน ซึ่งเป็นความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
เพราะการที่หุ้นฟื้นตัวขึ้นเกิดจากเงินทุนจากต่างประเทศไหลกลับ แต่ไม่ได้ไหลกลับเพราะต่างชาติมีความมั่นใจการบริหารประเทศของ น.ส.แพทองธาร
การจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์วงเงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งกำลังเดินเครื่องเต็มสูบ และจะเริ่มขายหน่วยลงทุนประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ เป็นชนวนเหตุสำคัญที่ดึงเงินทุนต่างประเทศไหลกับตลาดหุ้น
ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ต่างชาติเทขายหุ้นต่อเนื่อง โดยปี 2561 ต่างชาติขาย 287,696 ล้านบาท ปี 2562 ขาย 44,791 ล้านบาท ปี 2563 ขายหุ้น 263,148 ล้านบาท ปี 2564 ขาย 50,553 ล้านบาท ปี 2565 ซื้อ 196,886 ล้านบาท ส่วนปี 2566 ขาย 192,083 ล้านบาท และปี 2567 สิ้นสุดวันที่ 6 กันยายน ต่างชาติมียอดขายหุ้นสะสม 109,252 ล้านบาท
รวมรอบ 6 ปีต่างชาติขายหุ้นสะสม 753,637 ล้านบาท
ตั้งแต่ปี 2561 ดัชนีหุ้นกลับสู่ช่วงขาลงมาตลอด จากดัชนีหุ้นที่สร้างจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 1,850 จุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากนั้นดิ่งลงต่อเนื่อง ควบคู่กับการถล่มขายของต่างชาติ ซึ่งปรับกลยุทธ์การเล่นหุ้นขาลงทุน โดยการทุบหุ้นเพื่อทำกำไร และธุรกรรมการยืมหุ้นมาขายหรือ SHORT SELL ขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีการลักลอบขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นอยู่ในมือหรือ NAKED SHORT ด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งตลาดหลักทรัพย์ตรวจพบ จับได้และลงโทษปรับไป แต่การทำ NAKED SHORT ส่วนใหญ่นักลงทุนเชื่อว่า ตลาดหลักทรัพย์ตรวจสอบไม่ได้
การทำกำไรขาลงทุน โดยการขาย SHORT ทำให้ตลาดหุ้นโงหัวไม่ขึ้น เพราะต่างชาติถล่มขาย ทุบหุ้น จนนักลงทุนรายย่อยในประเทศขาดทุนกนถ้วนหน้า ติดหุ้นราคาแพงไว้ประมาณ 6 แสนล้านบาทช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
การประกาศใช้มาตรการ UPTICK RULE ป้องกันการขาย SHORT ทุบราคาหุ้น และมาตรการเข้มข้นคุมโปรแกรมการซื้อขาย หรือ ROBOT TRADE ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่าน นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีสู่ตลาดหุ้น
ธุรกรรม SHORT SELL ลดฮวบลง สถานการณ์การซื้อขายหุ้นกระเตื้องขึ้น แต่ยอดคงค้างรายการ SHORT SELL ยังมีอยู่ โดยยังไม่ได้ซื้อหุ้นที่ขาย SHORT คืน
การจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ เป็นแรงกดดันและตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ต่างชาติต้องเร่งซื้อหุ้นคืน เพื่อนำหุ้นที่ยืมขายขายส่งมอบคืน เพราะถ้ารอกองทุนวายุภักษ์จัดตั้งเสร็จ และนำเงินเข้ามาซื้อหุ้น
ราคาหุ้นจะดีดตัวขึ้น ทำให้ต่างชาติต้องไล่ซื้อหุ้นราคาแพง และขาดทุนจากการ SHORT SELL
เวลาที่ต่างชาติจะซื้อหุ้นต้นทุนต่ำเพื่อนำหุ้นที่ยืมมาขายส่งมอบคืนไล่หลังเข้ามาทุกที จึงต้องเร่งตัดสินใจกลับมาไล่ซื้อหุ้น ชิงตัดหน้ากองทุนวายุภักษ์ จนเกิดปรากฏการณ์เงินทุนต่างชาติไหลกลับครั้งใหญ่
พร้อมกับดัชนีหุ้นที่พุ่งทะยาน ทำให้ นาฝ.ส.แพรทองธาร ได้รับอานิสงส์ เพราะสามารถนำการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไปสร้างจุดขายในด้านคะแนนนิยมของตัวเอง
ทั้งที่การปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงของตลาดหุ้นรอบนี้ เกิดจากการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งเริ่มต้นในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
คำถามที่นักลงทุนรายย่อยอยากได้คำตอบคือ ดัชนีพุ่งขึ้นมาแรงจัดที่ระดับ 1,427 จุดแล้ว จะไปต่อและตีฝ่าแนวต้าน 1,450 ได้หรือไม่
แรงซื้อของต่างชาติยังไม่น่าจะหมด แต่อาจแผ่วลงบ้าง เพราะ 2 วันก่อนหน้า ช้อนหุ้นไปกว่า 18,000 ล้านบาท ดังนั้นหุ้นจึงมีโอกาสไปต่อ เพียงแต่อยู่ในช่วงปลายขาขึ้นแล้ว
แมลงเม่าจึงควรทยอยขายทำกำไรต่อไป เพราะโอกาสขายหุ้นทำกำไรในราคาดีๆ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
หุ้นรอบนี้มาไกลกว่า 138 จุดแล้ว ถ้ายังวิ่งไปต่อ ควรขายทำกำไรอย่าได้ยั้งมือ และอย่ากลัวขายหมู