มาตรการ UPTICK RULL หรือข้อกำหนดการขาย SHORT SELL ในราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมมาตรการอื่นที่เข้มข้น ควบคุมโปรแกรมการซื้อขายหรือ ROBOT TRADE ซึ่งแม้ว่าดัชนีหุ้นยังคงปักหัวลงอยู่ แต่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าสถานการณ์การลงทุน กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
UPTICK RULE และมาตรการควบคุมการซื้อขายของ ROBOT TRADE ที่นำมาใช้ควบคู่ มีเป้าหมายเพื่อลดการขาย SHORT SELL ในลักษณะทุบราคาหุ้น และป้องกันการส่งคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสมของ ROBOT TRADE เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา
ทุกฝ่ายเฝ้าจับตาว่า หลังการผลักดันมาตรการกำกับการซื้อขายที่เข้มข้นออก ตลาดหุ้นจะฟื้นหรือไม่ จะหยุดการถล่มขายของต่างชาติได้มากน้อยเพียงใด ธุรกรรม SHORT SELL ลดลงหรือไม่ และมูลค่าซื้อขาย ROBOT TRADE จะมีสัดส่วนที่สูงอยู่หรือไม่
ถ้าดูในภาพรวมของตลาดหุ้น ประเมินผิวเผินจากดัชนีที่ยังคงปรับตัวลง จนหลุดระดับ 1,300 จุดอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามาตรการ UPTICK RULE ไม่มีผลในการกระตุ้นการลงทุนแต่อย่างใด
แต่ถ้าดูลึกลงไปในรายละเอียดของการซื้อขายหุ้นจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกหลายด้าน
สัดส่วนการซื้อขายของ ROBOT TRADE ซึ่งมีมากกว่า 40% ของมูลค่าซื้อขายรวมทั้งตลาด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูง และมีส่วนสำคัญในการกดให้ดัชนีทรุดลงต่อเนื่องยาวนาน
ปรากฏว่า มูลค่าซื้อขายของ ROBOT เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ลดฮวบลงเหลือ 35.43% ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลขต่ำสุดในรอบไม่น้อยกว่า 1 ปี และมูลค่าซื้อขาย ROBOT ที่ลดลงส่งผลให้มูลค่าซื้อขายหุ้นโดยรวมลดลงเหลือ 29,731 ล้านบาท
สะท้อนให้เห็นว่า ROBOT มีบทบาทสำคัญต่อมูลค่าซื้อขายหุ้น และมีบทบาทสำคัญในการชี้นำทิศทางขึ้นลงของราคาหุ้นด้วย
ปรากฏการณ์ที่ดีอีกด้านคือ รายการ SHORT SELL ซึ่งลดฮวบลงอย่างชัดเจน โดยเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยอดธุรกรรม SHORT SELL มีสัดส่วน 12.88% ของมูลค่าการซื้อขายรวม แต่วันที่ 1 กรกฎาคม ยอด SHORT SELL ยอดการ SHORT SELL ลดลงเหลือเพียง 3.73% ของมูลค่าการซื้อขายรวมเท่านั้น
การ SHORT SELL เป็นการเล่นหุ้นขาลง และเป็นอีกเหตุปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนต่างชาติขาย SHORT SELL ทำกำไรหุ้นขาลง จนตลาดหุ้นโงหัวไม่ขึ้น
ปรากฏการณ์ที่ดีประการสุดท้ายคือ นักลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นไม่เลิก ปักหลักขายลูกเดียวมาประมาณ 30 วันทำการ หลังมาตรการ UPTICK RULE มีผลบังคับใช้ในวันแรก ต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน โดยมียอดซื้อหุ้นสุทธิ 337.97 ล้านบาท
ดัชนีหุ้นที่ถอยกรูดรูดลงมากว่า 100 จุด นับจากต้นปี สาเหตุสำคัญเกิดจากต่างชาติถล่มขายหุ้นอย่างหนัก จนมียอดสะสมการเทขายหุ้นครึ่งปีแรกกว่า 1.16 แสนล้านบาท เป็นการเทขายหุ้นต่อจากปี 2566 ซึ่งทุบขายหุ้น 1.92 แสนล้านบาท
UPTICK RULE และมาตรการอื่นที่กำกับการซื้อขายของ ROBOT ที่เข้มข้นขึ้นอาจไม่ใช่ยาแรงที่จะแก้หุ้นตกให้เห็นผลในทันตา
แต่ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่ดีหลายด้านในตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ยาของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
นักลงทุนที่จมทุกข์กับหุ้นตกมานานกำลังมีความหวังกลับขึ้นมาใหม่
เพราะถ้ารายการ SHORT SELL ลดลง การเล่นหุ้นขาลงของต่างชาติโดยการถล่มหุ้นให้ลง แล้วช้อนซื้อคืนในราคาต่ำๆ ทำได้ยากขึ้น
ถ้า ROBOT ลดการขายถล่มหุ้น
และถ้าต่างชาติหวนกลับมาซื้อหุ้นคืน
ตลาดหุ้นไทยจะหายจากโรคซึมเศร้า และฟื้นคืนสู่ความคึกคัก ดัชนีหุ้นที่ปักหัวลงมายาวนานจะเริ่มต้นวิ่งขึ้นเสียที
UPTICK RULE จะเป็นยาวิเศษที่พลิกฟื้นตลาดหุ้นไทยได้หรือไม่ อดใจรอดูกันอีกสักนิด พร้อมกับความหวังที่เห็นแสงสว่างรำไร จากปัจจัยบ่งชี้ว่า
หุ้นกำลังเปลี่ยนแปลงสู่รอบขาขึ้น