นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (13 ธ.ค.) ที่ระดับ 35.70 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.67 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.55-35.80 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด และประเมินกรอบ 35.50-36.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด โดยในช่วงคืนก่อนหน้าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในช่วง 35.54-35.78 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเร็วในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และการย่อตัวลงของราคาทองคำ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ยังคงสะท้อนแนวโน้มการชะลอลงของอัตราเงินเฟ้ออย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจทำให้เฟดยังไม่สามารถรีบ “ลด” ดอกเบี้ยลงได้เร็วอย่างที่ตลาดกำลังคาดการณ์อยู่ โดยล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤษภาคม จากเดิมที่เคยมองไว้ว่าจะเป็นการประชุมเดือนมีนาคม ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงราว -125bps ในปีหน้า
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ล่าสุดอาจทำให้เฟดยังไม่สามารถส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนธันวาคม แต่อย่างน้อยส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมุมมองเดิมว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงได้พอสมควรในปีหน้า ซึ่งภาพดังกล่าวได้ช่วยตรึงให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทรงตัวที่ระดับ 4.20% ลดแรงกดดันต่อบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ที่กลับมารีบาวนด์ขึ้นได้บ้าง นำโดย Meta +2.8% Nvidia +2.2% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.46%
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideway ในกรอบไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นผลการประชุมเฟดในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ ทำให้เงินบาทอาจผันผวนไปตามฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติอาจเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยได้บ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งเอเชียอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
ทั้งนี้ ควรระมัดระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด เนื่องจากเรามองว่า เฟดอาจยังไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นหรือลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดกำลังคาดการณ์อยู่ โดยเฟดอาจให้เหตุผลว่า สภาวะการเงิน (Financial Conditions) ล่าสุดกลับมาผ่อนคลายมากขึ้น หลังบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงพอสมควร ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจยังดูดีอยู่ โดยเฉพาะการจ้างงาน และแม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอลง แต่ยังสูงกว่าเป้าหมายที่เฟดต้องการ โดยในกรณีนี้ หาก Dot Plot ใหม่ของเฟดสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดกำลังประเมินว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงราว-125bps เราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (Repricing) ส่งผลให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.00 บาทต่อดอลลาร์
ในทางกลับกัน หากเฟดเริ่มส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (ซึ่งเรามองว่า โอกาสอาจไม่สูงมาก) และ Dot Plot ใหม่ สะท้อนการลดดอกเบี้ยลงในปีหน้าที่มากกว่า Dot Plot ก่อนหน้า อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้บ้าง หนุนให้เงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่ากลับมาสู่แนวรับแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก (แนวรับถัดไป แถว 35.20-35.30 บบบาทต่อดอลลาร์)
อนึ่ง เรามองว่าปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินดอลลาร์ บอนด์ยิลด์สหรัฐฯ รวมถึงเงินบาทและราคาทองคำในอนาคตอาจเป็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดในปีหน้า
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจมีไม่มาก ทำให้เรามองว่าไฮไลต์สำคัญที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ผลการประชุมเฟดซึ่งจะรับรู้ในช่วงเช้าตรู่ ราว 02.00 น. ของวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย
โดยเรามองว่า เฟดอาจ “คง” อัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หลังอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้นและมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการกลับสู่เป้าหมาย 2% ของเฟด ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงเช่นกัน อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ โดยหาก Dot Plot ใหม่ของเฟด และถ้อยแถลงของประธานเฟดอาจยังคงส่งสัญญาณว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานและอาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงเยอะอย่างที่ตลาดกำลังคาดการณ์อยู่ ภาพดังกล่าวอาจยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งเงินบาทและราคาทองคำได้