การรายงานข้อมูลการซื้อขายหุ้นของโปรแกรมเทรด หรือ ROBOT รายวัน ทำให้เห็นพฤติกรรมของ ROBOT อย่างชัดเจน ในฐานะนักลงทุน “ขาใหญ่” ตัวจริง
ตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยเปิดข้อมูลการซื้อขายหุ้นของ ROBOT นับจากวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สัดส่วนการซื้อขายของ ROBOT อยู่ที่ประมาณ 40% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นรวมทั้งตลาดหลักทรัพย์และตลาด MAI
ใครที่พูดว่าสัดส่วนการซื้อขายหุ้นของ ROBOT ไม่ได้มาก ไม่รู้ว่านำอวัยวะส่วนไหนมาคิด หรือจะรอให้สัดส่วนมูลค่าซื้อขายของ ROBOT พุ่งขึ้นไป 80% ของมูลค่าซื้อขายทั้งตลาด จึงจะถือว่ามาก
มูลค่าการซื้อขายสัดส่วน 40% ของตลาด ต้องถือว่า ROBOT เป็นนักลงทุนขาใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทย และมีอำนาจขี้นำทิศทางหุ้น โดยเฉพาะหุ้นรายตัว
ในอดีต แก๊งปั่นหุ้น นักลงทุนรายใหญ่ เจ้ามือหรือเจ้าของหุ้นจะเป็นผู้ควบคุมความเคลื่อนไหวของหุ้นแต่ละตัวอย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งการสร้างมูลค่าซื้อขายและความเคลื่อนไหวของราคา
แต่ปัจจุบัน ROBOT บุกโจมตีหุ้นรายตัว จนรายใหญ่ เจ้ามือ หรือเจ้าของหุ้นต้องหนีกระเจิง
เจ้าของหุ้นขนาดเล็กนับสิบตัวที่หาญสู้กับ ROBOT หลายคนถูกทุบจนสลบเหมือด บางคนเข้าขั้นต้องหามส่งไอซียู และจนบัดนี้ยังไม่ฟื้น
ROBOT บุกโจมตีไม่เลือกหน้า ไม่ว่าหุ้นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เพราะเป้าหมายคือการกอบโกยเงินจากตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ไม่ว่าจะซื้อขายด้วยวิธีการใดก็ตาม
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายหนาแน่น หุ้นที่ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างร้อนแรงตกเป็นเป้าหมายการถูกโจมตีจาก ROBOT โดยเฉพาะหุ้นในตลาด MAI
รวมทั้งการเข้าไปลุยในตลาดฟิวเจอร์ส ไม่ว่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า SET50 สัญญาซื้อขาย BLOG TRADE และบรรดา DW หรือดิลิเวทีฟทั้งหลาย
ใครที่โหมปลุกระดม ตั้งงบประชาสัมพันธ์ชักจูงให้นักลงทุนเก็งกำไรฟิวเจอร์ส เป็นผู้ที่พาคนไปตายหมู่ เพราะเจ๊งกันออกมาโดยถ้วนหน้า
ถ้าตลาดหลักทรัพย์ติดตามพฤติกรรมของ ROBOT ตั้งแต่แรกเริ่มที่แทรกซึมเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยตรวจสอบการซื้อขาย ประมวลผลรูปแบบการซื้อขาย และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนในประเทศ คงจะผลักดันมาตรการที่เข้มงวด
ควบคุมพฤติกรรม ROBOT ไม่ให้ทำร้ายนักลงทุนในประเทศตั้งแต่ 5 ปีก่อนแล้ว
แต่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์อาจหลงกับรายได้ค่าหน้านาย 0.005% หรือมูลค่าซื้อขายหุ้น 1 ล้านละ 50 บาท ภาคภูมิใจกับมูลค่าการซื้อขายหุ้นที่พุ่งขึ้นเฉลี่ยวันละเกือบ 1 แสนล้านบาท ในปี 2564 จนละเลยต่อพฤติกรรมของ ROBOT
และมองข้ามผลกระทบร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ลงทุนในตลาดหุ้น
ROBOT ช่วยสร้างมูลค่าซื้อขายในตลาดหุ้นจริง แต่ตัวเลขมูลค่าการซื้อขายที่พองโต คุ้มหรือไม่กับความสูญเสียของนักลงทุน
ย้อนหลังไปประมาณ 6 ปี มูลค่าซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปี 2560 ก่อน ROBOT แทรกซึมเข้ามา มูลค่าซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 50,114 ล้านบาท ปี 2561 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มมี ROBOT มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 57,674 ล้านบาท
ปี 2562 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 53,192 ล้านบาท ปี 2563 ขยับขึ้นเป็นเฉลี่ยวันละ 68,607 ล้านบาท ปี 2564 เป็นปีที่มูลค่าซื้อขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์เฉลี่ยวันละ 93,846 ล้านบาท
และ 10 เดือนแรกปีนี้ มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละ 51,268 ล้านบาท
สัดส่วนการซื้อขายของ ROBOT เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนปีนี้คงเส้นคงวาอยู่ที่ประมาณ 40% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นทั้งตลาดหลักทรัพย์และตลาด MAI
ถ้าไม่มี ROBOT นักลงทุนรายย่อยคงมีสัดส่วนการซื้อขายสูงสุด หรืออาจสูงถึง 60% ของมูลค่าซื้อขายหุ้นรวมทั้งตลาด และนักลงทุนต่างชาติอาจมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 20% เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
แต่ ROBOT ทำให้สัดส่วนการซื้อขายของต่างชาติกระโดดขึ้นไปกว่า 50% ของมูลค่าซื้อขายรวม
ตัวเลขการซื้อขายของ ROBOT ที่ตลาดหลักทรัพย์นำมาเผยแพร่รายวัน สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ROBOT ลุยหุ้นทุกตัว แม้จะเป็นหุ้นเล็ก หุ้นเก็งกำไรร้อน หุ้นปั่น หรือหุ้นที่มีเจ้ามือดูแล
ในอดีตหุ้นที่มี่เจ้ามือดูแล นักลงทุนขาใหญ่หรือแก๊งปั่นหุ้นจะไม่กล้าเข้าไปลุย เพราะกลัวเจ้ามือเทหุ้นใส่ เว้นแต่เจ้ามือจะร่วมกับขาใหญ่ปั่นหุ้นเท่านั้น
แต่ ROBOT ไม่ยำเกรงใคร ไม่กลัวเจ้ามือหรือเจ้าของ เพราะมีอาวุธร้าย นอกจากความรวดเร็วในคำสั่งซื้อขาย และต้นทุนค่านายหน้าที่ต่ำกว่าแล้ว ยังเล่นนอกกติกา ทำ NAKED SHORT หรือขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นอยู่ในมือด้วย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์เพื่อตื่นจากหลับใหล ไล่ตรวจ NAKED SHORT อย่างจริงจังเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
น่าแปลกใจที่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้เอะใจในพฤติกรรมของ ROBOT ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่เห็นข้อมูลการโจมตีหุ้นขนาดเล็กจนหมอบราบคาบ ตายทั้งรายย่อย รายใหญ่ เจ้ามือและเจ้าของ
ค่าต๋งร้อยละ 0.005 บาท หรือค่าหัวคิว 50 บาทต่อมูลค่าการซื้อขาย 1 ล้านบาท ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นเสือนอนกิน มีรายได้งามๆ แบ่งปันในหมู่ผู้บริหารและพนักงานตลาดหลักทรัพย์
จนพนักงานตลาดหลักทรัพย์กลายเป็นมนุษย์ทองคำสายพันธุ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ เพราะมีรายได้เฉลี่ยสูงที่สุด เมื่อเทียบกับองค์กรทั้งหมดในประเทศไทย โดยมีรายได้เฉลี่ยคนละ 2.28 แสนบาทต่อเดือน
มหาวายร้าย ROBOT ถูกเปิดโปงแล้ว แต่เงินของนักลงทุนที่สูญเสียตลอด 5 ปี เพราะถูก ROBOT กินเรียบไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้
และไม่มีใครต้องรับผิดชอบกับการปล่อยให้ ROBOT เข้ามาโจมตีตลาดหุ้นไทยเสียด้วย