xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดที่ระดับ 35.30 มีโอกาสผันผวนอ่อนค่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24 พ.ย.) ที่ระดับ 35.30 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.27 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.15-35.45 บาท/ดอลลาร์ โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอ่อนค่าลงเล็กน้อยและเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (แกว่งตัวในช่วง 35.24-35.31 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯ ปิดทำการในวันหยุด Thanksgiving ทำให้โฟลว์ธุรกรรมในตลาดการเงินเบาบางลง ทั้งนี้ เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้างตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้โซน 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมเกี่ยวกับน้ำมัน เนื่องจากในช่วงนี้ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควร ท่ามกลางปัจจัยกดดันด้านอุปสงค์ความต้องการใช้พลังงานที่อาจลดลงตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจหลัก ขณะเดียวกัน ยังมีความไม่แน่นอนของแนวโน้มนโยบายการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ซึ่งต้องรอจับตาการประชุม OPEC+ ในสัปดาห์หน้าอย่างใกล้ชิด

สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราเริ่มเห็นความเสี่ยงที่เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง โดยเฉพาะหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.30 บาทต่อดอลลาร์ได้ชัดเจน จะเปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ซึ่งต้องจับตาทิศทางเงินดอลลาร์ที่ในช่วงเช้าอาจผันผวนไปตามค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังฝั่งญี่ปุ่นจะมีการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ซึ่งจะส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทองคำ รวมถึงน้ำมันดิบจะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้ในช่วงนี้ ซึ่งหากราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อจะยิ่งหนุนให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำและน้ำมันดิบ กดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาเป็นฝั่งขายสุทธิมากขึ้น ทั้งหุ้นและบอนด์ โดยในฝั่งบอนด์ เรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมขายที่เกิดขึ้นในช่วงนี้อาจเป็นเพียงการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ หลังบอนด์ยิลด์ไทยได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควร ขณะที่โฟลว์ขายหุ้นไทยนั้นอาจยังมาจากความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกำไรของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจยังดำเนินต่อไปได้จนกว่านักลงทุนต่างชาติจะมีมุมมองต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของหุ้นไทยที่ดีขึ้น

อนึ่ง ในวันนี้ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนี PMI ของสหรัฐฯ ในช่วง 21.45 น. ตามเวลาในประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลให้เงินดอลลาร์ บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ราคาทองคำ และเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนได้พอสมควร

สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงภาระหนี้สินของชาวอเมริกันที่เพิ่มสูงขึ้น หลังการเริ่มกลับมาจ่ายหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (Student Loans) อาจกดดันให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมพลิกกลับมาหดตัวลง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตที่อาจต่ำกว่าระดับ 50 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) ขณะที่ภาคการบริการอาจยังคงขยายตัวได้ แต่ในอัตราที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ภาคการบริการอาจลดลงสู่ระดับ 50.3 จุด (ดัชนีสูงกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 1990 ของเรา พบว่าหากทั้งดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการต่ำกว่าระดับ 50 จุด และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่าความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งสหรัฐฯ นั้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เฟดจะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ ขณะเดียวกัน อาจเพิ่มโอกาสที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยลงได้เร็วขึ้นและลึกขึ้นกว่าที่เฟดได้ระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ในทางกลับกัน หากรายงานดัชนี PMI สหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า ส่งผลให้เงินดอลลาร์ รวมถึงบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นได้ในระยะสั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น