การแสดงท่าทีเกี่ยวกับกระแสเรียกร้องห้ามทำ SHORT SELL หรือการยืมหุ้นมาขาย และการยกเลิกโปรแกรมซื้อขายหรือการซื้อขายด้วย ROBOT ของนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คงทำให้นักลงทุนต้องฝันสลาย
เพราะนักลงทุนแทบทั้งตลาดหุ้นต้องการให้นายภากร มีวิสัยทัศน์เช่นเดียวกับผู้บริหาร ตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้ ซึ่งเพิ่งประกาศห้ามทำ SHORT SELL ทำให้หุ้นพุ่งทะยานขึ้น 4%
นายภากร ประกาศชัดว่า ยังไม่เห็นเหตุผลที่จะใช้มาตรการห้ามทำ Short Sell เหมือนตลาดหุ้นเกาหลี แต่หากพบข้อมูลหรือปัญหาที่ทำให้เชื่อว่าส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น จึงจะพิจารณาดำเนินการ
เหตุผลที่ไม่ห้าม SHORT Sell และโปรแกรมเทรดดิ้งหรือ ROBOT นายภากร อ้างว่า ได้ติดตามตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายหุ้นมาตลอด ดูทุกวัน ซึ่งไม่พบความไม่เท่าเทียมหรือการตลาดบิดเบือนตลาดเหมือนที่พูดกัน
และได้ติดตามข้อมูลควบคู่กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แนะนำข้อมูลการตรวจสอบทั้ง 2 หน่วยงานมาเปรียบเทียบกัน รวมทั้งการสอบถามบริษัทสมาชิกหรือโบรกเกอร์และนักลงทุน โดยการทำ Naked Short Sell จากต่างประเทศ ดูย้อนหลัง 3 ปี พบว่าปีนี้ไม่เกิดขึ้นเลย
คำแถลงของนายภากร ถ้าพิจารณาด้วยความเป็นธรรม การที่ยังไม่ยอมยกเลิก SHORT SELL และห้ามการซื้อขายด้วย ROBOT ถือว่ามีเหตุผลสนับสนุนที่รับฟังได้
เพียงแต่มีคำถามว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้ตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายของ ROBOT ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ครอบคลุมในทุกแง่มุมหรือไม่เพียงใด ทันต่อความรวดเร็วดุจสายฟ้าของคำสั่งซื้อขาย ROBOT หรือไม่
ปีนี้ไม่มี NAKED SHORT จริงๆ หรือตลาดหลักทรัพย์ตรวจไม่เจอ
และการสอบถามโบรกเกอร์หรือนักลงทุน เกี่ยวกับผลกระทบ ROBOT นั้น มีคำถามกลับว่า ตลาดหลักทรัพย์สอบถามจากโบรกเกอร์กี่ราย สอบถามจากนักลงทุนที่ไหน
เพราะบริษัทโบรกเกอร์จำนวนทั้ง 38 แห่ง ส่วนใหญ่ต่อต้าน ROBOT มีเพียงโบรกเกอร์ประมาณ 5 รายเท่านั้นที่ไม่ต่อต้าน เพราะมีลูกค้าซื้อขายด้วย ROBOT
ส่วนนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นรายย่อย หรือรายใหญ่ รวมทั้งเจ้ามือหรือเจ้าของหุ้น ทุกคนแทบจะล่มจมเพราะถูก ROBOT ไล่ตีกินด้วยกันทั้งสิ้น
ในรอบ 6 ปี นักลงทุนรายย่อยถือหุ้นติดมือด้วยราคาต้นทุนสูง วงเงินรวมประมาณ 5 แสนล้านบาท
ตลาดหลักทรัพย์น่าจะตรวจสอบได้ว่า นักลงทุนรายย่อยขาดทุนหุ้นป่นปี้เพราะเหตุใด
และย่อมตรวจสอบได้ว่า ในช่วงประมาณ 5 ปี นับตั้งแต่เปิดให้ ROBOT เข้ามา ต่างชาติที่ใช้ ROBOT เป็นอาวุธบุกโจมตีตลาดหุ้น กอบโกยเงินจากนักลงทุนไทยไปเท่าไหร่
มูลค่าซื้อขายหุ้นที่ลดเหลือวันละ 3-4 หมื่นล้านบาท จากยุคเฟื่องฟู เฉลี่ยวันละเฉียด 1 แสนล้านบาท กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์น่าจะรู้สาเหตุดี แต่ได้ลงมือแก้ไขอะไรบ้างหรือไม่
ทุกวันนี้ นักลงทุนรายย่อยซึ่งเคยเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการซื้อขายหุ้นสูงสุดคือ ประมาณ 70% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นรวมทั้งหมด เหลือสัดส่วนมูลค่าซื้อขายเพียง 30%
เพราะส่วนใหญ่ขาดทุนหุ้นต่อเนื่อง 5-6 ปี ถูก ROBOT กินเรียบ จึงได้แต่เฝ้ากระดานหุ้นไปวันๆ ไม่มีคำสั่งซื้อขาย
มูลค่าซื้อขายหุ้นที่ทรุดฮวบ ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่มาร์เกตติ้ง หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของโบรกเกอร์ทั้งระบบจำนวนนับหมื่นชีวิตที่รายได้ตกต่ำ จนแทบอยู่กันไม่ได้
ขณะที่บริษัทโบรกเกอร์หลายสิบบริษัทประสบปัญหาขาดทุน เพราะรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหุ้นตกต่ำจนรับมือไม่ทัน
หุ้นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่เข้ามาซื้อขาย 7 บริษัทล่าสุด ซึ่งราคาร่วงหลุดจอง เชื่อกันว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการถูก ROBOT โจมตี
เพราะเมื่อโจมตีหุ้นปั่น หุ้นที่มีเจ้ามือ หรือหุ้นที่มีการเก็งกำไรอย่างร้อนแรงจนราบคาบหมดแล้ว จึงเบนเข็มสู่หุ้นใหม่
ตลาดหลักทรัพย์อาจเห็นว่า ผลกระทบจากการทำ SHORT SELL หรือความไม่เท่าเทียมและการบิดเบือนตลาดจาก ROBOT เป็นเพียงความรู้สึก โดยไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง
แต่ความเห็นของตลาดหลักทรัพย์แตกต่างจากนักลงทุนและโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ ซึ่งสัมผัสได้กับหายนะจาก ROBOT และ NEKED SHORT SELL
เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ตั้งแต่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปี 2561 ประกาศแต่งตั้งนายภากรเข้ารับตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการ หุ้นตกอย่างต่อเนื่อง จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 1,850 จุด ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 1,400 จุดต้นๆ
ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นไม่ถูกโฉลกกับนายภากรหรืออย่างไร หรือเป็นเพราะยุคนายภากร กิจกรรมหรือผลงานของตลาดหลักทรัพย์เงียบสนิท ถึงขั้นไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันอย่างเป็นรูปธรรมก็ว่าได้
ปัญหา ROBOT ซึ่งถูกมองเป็นมหาโจรปล้นเงินนักลงทุน NAKED SHORT SELL ที่ถูกมองว่า เป็นตัวซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นเลวร้ายหนักขึ้น และนายภากร น่าจะแสดงผลงานในการแก้ไข แต่กลับเห็นว่าไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ กับตลาดหุ้นไทย
มุมมองการแก้ปัญหาที่แตกต่างระหว่างนายภากร กับนักลงทุนส่วนใหญ่ อาจเป็นต้นตอความตกต่ำของตลาดหุ้นในช่วง 6 ปี
นับตั้งแต่นายภากร ถูกประกาศชื่อเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนที่ 13 หุ้นก้าวเข้าสู่ช่วงขาลงมาตลอด
และไม่รู้ว่าจะต้องรอจนนายภากร เกษียณอายุในปีหน้าหรือไม่ หุ้นจึงเปลี่ยนทิศกลับสู่รอบขาขึ้นเสียที