ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มูลค่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ลดฮวบ เหลือเพียงวันละ 36,000 ล้าน ถึง 38,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซาสุดขีดเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณอันตราย การพังทลายของตลาดหุ้นด้วย
มูลค่าการซื้อขายที่หดตัวเหลือต่ำกว่าวันละ 4 หมื่นล้านบาท จากที่เคยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละกว่า 9.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2564 เนื่องจากมูลค่าซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยลดลงมาก
ย้อนหลังไปประมาณ 30 ปี นักลงทุนรายย่อยเคยมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 70% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการซื้อขายประมาณ 20% เศษ และกองทุนในประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายเกือบ 10% โดยยังไม่รายการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์
แต่ปัจจุบัน สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยเหลือเพียงประมาณ 31% ของมูลค่าซื้อขายรวม ส่วนต่างชาติมีสัดส่วนการซื้อขายเพิ่มเป็นประมาณ 52% ของมูลค่าซื้อขายรวม
มูลค่าการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายย่อยที่แฟบลง เป็นผลพวงจากช่วง 6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อยขาดทุนต่อเนื่อง โดยมียอดซื้อหุ้นสะสมประมาณ 5 แสนล้านบาท และเป็นหุ้นที่ซื้อไว้ในราคาต้นทุนสูง
นักลงทุนรายย่อยขาดทุนจนแบกรับไม่ไหว ต้องยอมจำนนกับตลาดหุ้น ชะลอหรือหยุดการซื้อขายไป
เพราะเล่นหุ้นต่อไปก็ไม่สามารถเอาชนะการซื้อขายด้วยระบบ ROBOT หรือปัญญาประดิษฐ์ได้
ส่วนมูลค่าการซื้อขายของต่างชาติที่เพิ่มขึ้น เป็นการซื้อขายผ่าน ROBOT ซึ่งมีความเร็วและความถี่สูงมาก และสามารถทำกำไรได้ตลอดเวลา เพียงหุ้นขึ้นหรือลง 1 ช่วงราคา
ต่างชาตินำอาวุธใหม่ หรือนำ ROBOT เข้ามาในตลาดหุ้นไทยประมาณ 5 ปี และสูบกินนักลงทุนรายย่อยทุกวัน โดยนักลงทุนรายย่อยไม่อาจต่อกรกับ ROBOT ได้
นอกเหนือจากความรวดเร็วในการส่งคำสั่งซื้อขาย การประมวลผลแนวโน้มราคาหุ้น และต้นทุนที่ต่ำกว่าแล้ว เชื่อกันว่า ROBOT ยังปฏิบัติการ NEKED SHORT หรือการขายหุ้น โดยไม่มีใบหุ้นอยู่ในมือด้วย รวมทั้งการ SHORT SELL ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง
ตลาดหลักทรัพย์ไม่สามารถตรวจสอบรายการ NEKED SHORT หรือ SHORT SELLได้มากนัก เพราะคำสั่งมาจากลูกค้าในต่างประเทศ และโบรกเกอร์ต่างประเทศมักจะยกเหตุผลการรักษาความลับลูกค้ามาเป็นข้ออ้าง เพื่อปิดข้อมูลรายการซื้อขาย
การทำ NEKED SHORT ทำให้ ROBOT สามารถเทขายหุ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด จนแม้แต่เจ้าของหุ้นยังยอมแพ้ และเมื่อราคาหุ้นลง จนแทบไม่เหลือนักลงทุนรายใดช้อนซื้อแล้ว
ROBOT จะเข้ามาช้อนหุ้นคืนในราคาต่ำๆ และทำรายการหักกลบการชำระราคาค่าซื้อขายหุ้นภายในวันเดียว หรือ NET SETTLEMENT โดยเก็บเกี่ยวกำไรจากส่วนต่าง NEKED SHORT ไป
ตลาดหุ้นอินโดนีเชีย ไม่เปิดทางให้ ROBOT เข้าไปทำร้ายนักลงทุนในประเทศ ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์ทำเป็นเก่ง เปิดกว้างให้ใช้ ROBOT ซื้อขายอย่างเสรี และเพียงเวลาไม่กี่ปี นักลงทุนรายย่อยล้มตาย จนแทบไม่เหลือนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นสิงคโปร์
ผลที่ตามาคือ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ตกอยู่ในสภาพตายซาก มูลค่าซื้อขายหุ้นต่ำมาก
ถ้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังไม่ยอมเปิดหูเปิดตาให้กว้าง ปล่อยให้ ROBOT ไล่สังหารนักลงทุนในประเทศต่อไป อีกเพียงไม่กี่ปีตลาดหุ้นไทยจะกลายเป็นป่าช้า เพราะนักลงทุนรายย่อยตายหมด
สัญญาณการพังทลายของตลาดหุ้นถูกส่งมาเป็นระยะ ไม่ว่าการที่บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน ขายธุรกิจให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือการที่บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ปรับโครงสร้างธุรกิจหลักทรัพย์ลูกค้ารายย่อย ลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร โดยพัฒนาแพลนฟอร์มดิจิทัลออนไลน์ให้นักลงทุนซื้อขายผ่าน
และกำลังมีอีกหลายบริษัทหลักทรัพย์ถอดใจในการทำมาหากินกับนักลงทุนรายย่อยตามมา
นักลงทุนรายเก่าๆ กำลังถอยออกจากตลาดหุ้น เพราะขาดทุนจนท้อ ส่วนนักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นน้อยมาก
ข้อมูลสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักลงทุนที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นมีจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 2.48 ล้านราย โดย 9 เดือนแรกปีนี้ นักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3 แสนราย ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อกับช่วงปลายปีที่ผ่านมา
จำนวนเหยื่อรายใหม่ในตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้นน้อยมาก ไม่ใช่เพราะภาวะตลาดหุ้นตกต่ำเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะไม่มีเสียงคุยโวโอ้อวดความร่ำรวยของนักลงทุนในตลาดหุ้นที่จะกระตุ้นให้นักลงทุนหน้าใหม่อยากเข้ามาเสี่ยงโชคในตลาดหุ้นอีกด้วย
มีแต่เสียงโอดครวญถึงความย่อยยับ และแม้แต่เซียนหุ้นยังต้องหนีลงไปอยู่ในรู
ถ้านักลงทุนหน้าเก่าล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นน้อย ตลาดหุ้นจะเหี่ยวเฉาลง จนสุดท้ายตกอยู่ในสภาพตายซาก
วันที่ตลาดหุ้นพังทลายกำลังคืบคลานเข้ามา พร้อมๆ กับนักลงทุนรายย่อยที่ใกล้สูญพันธุ์
ผู้บริหาร ก.ล.ต.และผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ คงไม่ต้องกังวลกับการพังทลายของตลาดหุ้น หรือหายนะของนักลงทุนรายย่อยเท่าไหร่นัก
เพราะถึงวันนั้น ผู้บริหาร ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์อาจใช้ชีวิตเสพสุขอยู่ที่ไหนก็ได้
และไม่ต้องไยดีกับนักลงทุนรายย่อยที่ถูก ROBOT สังหารตายเกลื่อนตลาดหุ้น