ตั้งแต่ต้นปีแล้ว นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์บางสำนักเคยทำนายไว้แล้วว่า ถ้าสถานการณ์ตลาดหุ้นเลวร้าย ดัชนีหุ้นอาจทรุดตัวลงถึงระดับ 1,400 จุด และคำทำนายเป็นจริงจนได้
เพราะเมื่อวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา หุ้นเกิดภาวะถล่มทลายอีกครั้ง ดิ่งลง 23.69 จุด ปิดที่ 1,399.35 จุด หลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,400 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
และถ้าเทียบกับจุดปิดสิ้นปี 2565 ที่ระดับ 1,668.66 จุด ดัชนีปีนี้ลดลงแล้ว 269.31 จุดหรือลดลง 16.13%
การที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายสำนักมีมุมมองในเชิงลบกับตลาดหุ้น เนื่องจากผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น อันเป็นผลพวงจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ทะยานขึ้น หลังสงครามรัสเซียกับยูเครน และยังมีความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยอีกด้วย
สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส เป็นปัจจัยลบที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย และกลายเป็นตัวเร่งให้ตลาดปรับตัวลงเร็วขึ้น โดยไม่ต้องลุ้นว่าดัชนีจะหลุด 1,400 จุดหรือไม่
วันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติถล่มขายหุ้นเพียงแค่ 1,215 ล้านบาท โดยกองทุนในประเทศและพอร์ตโบรกเกอร์ร่วมวงเทขายด้วย แต่แรงซื้อนักลงทุนรายย่อยอ่อนล้าเต็มที ไม่อาจต้านทานแรงขายนักลงทุนทั้ง 3 กลุ่มได้
ดัชนีหล่นตุบหลุด 1,400 จุดแล้ว และไม่อาจประเมินได้ว่า รอบนี้จุดต่ำสุดอยู่ที่ใด
แนวโน้มระยะสั้นหุ้นคงลงต่อเช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเจอผลกระทบจากสงครามตะวันออกกลาง
นักลงทุนบางคนมองโลกในแง่ดี เห็นว่าหุ้นปรับตัวลงมาลึกมาก ราคาถูกจูงใจ และเตรียมขยับช้อนหุ้นเก็บ
แต่นักลงทุนที่มองว่าหุ้นราคาลงมาต่ำ และเข้าไปซื้อหุ้นก่อนหน้าต้องขาดทุนตลอด
หุ้นที่คิดว่าถูกแล้ว กลับมีราคาที่ถูกกว่า นักลงทุนที่ทยอยซื้อหุ้นเก็บตั้งแต่ดัชนีแถว 1,450 จุด เพราะคิดว่าดัชนีลงลึกสู่ก้นแล้ว แต่ดัชนีทรุดต่อ จนหลุด 1,400 จุด นักลงทุนโลกสวยจึงขาดทุนกันถ้วนหน้า
นับตั้งแต่ปี 2561 นักลงทุนรายย่อยซื้อหุ้นมาตลอด มีเพียงปี 2565 ที่ขายออกบ้าง แต่เพียงไม่กี่หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดซื้อหุ้นสะสมรวม 6 ปี มีจำนวนกว่า 6 แสนล้านบาท
ปีนี้รายย่อยมียอดซื้อหุ้นสะสมสุทธิ 1.12 แสนล้านบาท ขณะที่ต่างชาติขายหุ้นยอดสะสมปีนี้กว่า 1.67 แสนล้านบาท โดยต่างชาติขายหุ้นได้ราคาดี
แต่รายย่อยกลายเป็นผู้ซื้อหุ้นราคาแพง ต้องแบกหุ้นต้นทุนสูงไว้ โดยยังสรุปผลขาดทุนไม่ได้จนกว่าหุ้นปีนี้จะปิดฉากลง
หลายปีที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนไม่สดใสนัก ตลาดหุ้นมีลักษณะประคองตัว แต่ปีนี้เป็นปีที่ตลาดหุ้นย่ำแย่หนัก ผลตอบแทบติดลบไปแล้วกว่า 16% และหากสงครามตะวันออกกลางลุกลามบานปลาย
หุ้นคงปักหัวลงต่อ ซึ่งแล้วแต่สมมติฐานของนักลงทุนแต่ละคนที่มองว่า รอบนี้จะถอยลงไปถึงระดับ 1,300 จุดหรือไม่
หุ้นจำนวนไม่น้อยที่ราคาหุ้นปรับตัวลงย้อนหลังไปเท่ากับราคาเมื่อ 3 ปีก่อน เช่น หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า หรือหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กหลายร้อยบริษัท
แต่แม้ราคาหุ้นชวนให้ซื้อ แต่ไม่ควรกระโจนเข้าใส่ไล่ช้อน เพราะเมื่อสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับตัวเลขดัชนีหุ้นที่จะดิ่งลงเซ่นสังเวย อย่าเสี่ยงเข้าไปซื้อหุ้น
ยามสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ยิ่งสู้ยิ่งตาย ยิ่งซื้อหุ้นยิ่งจน
รอให้ไฟสงครามจางลง รอหุ้นปรับฐานจนให้สะเด็ดน้ำ รอดัชนีจมอยู่ก้นเหวจริงๆ จึงเข้าไปเก็บของถูก ซึ่งไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ชั่วโมงนี้ไม่มีกลยุทธ์ใดดีไปกว่าการรอคอย
ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส แต่โอกาสดีๆ มีไว้สำหรับนักลงทุนที่พร้อมจะรอคอย และรู้จังหวะว่าเมื่อไหร่จึงถึงเวลาซื้อหุ้นถูกๆ