สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสหรือกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ สร้างความปั่นป่วนต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ซึ่งถูกมรสุมข่าวร้ายกระหน่ำซ้ำเติมไม่ขาดสาย จนดัชนีหุ้นปักหัวลง สร้างจุดต่ำสุดเป็นรายวัน
ราคาน้ำมันพุ่งทะยานขึ้นแรง เช่นเดียวกับราคาทองคำ เพราะนักลงทุนทั่วโลกตื่นตระหนก พากันโดดลงหลุมหลบภัย ขนเงินไปซื้อทองคำ และเก็งกำไรราคาน้ำมัน
นักลงทุนประเมินกันว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกจะดิ่งลง เพราะความกังวลผลกระทบจากสงครามที่อาจลุกลามบานปลาย จนเกิดการเทขายหุ้น เพื่อลดความเสี่ยงในความผันผวนของหุ้น
ตลาดหุ้นไทยทรุดฮวบลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในวันจันทร์ที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ราคาหุ้นทุกกลุ่มตกอยู่ในเป้าหมายการขายทิ้ง ยกเว้นหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มน้ำมัน เพราะได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันขาขึ้น
ระหว่างชั่วโมงซื้อขาย ดัชนีลบประมาณ 15 จุด โดยลงไปแต่ที่ระดับ 1,423 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 3 ปี แต่หลังจากนั้นเริ่มกระเตื้องขึ้น ก่อนปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,431.72 จุด ลดลง 6.73 จุด มูลค่าซื้อขาย 47,468 ล้านบาท
ต่างชาติน่าจะเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักเหมือนก่อนหน้า แต่ปรากฏว่า ต่างชาติกลับเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ ซื้อแม้ว่าหุ้นยังอยู่ในช่วงขาลง และมีข่าวร้ายชิ้นใหญ่ สงครามอันร้อนระอุครั้งใหม่ในตะวันออกกลาง
นักลงทุนที่ตื่นตระหนกเทขายหุ้นออกมาหนักกลับกลายเป็นนักลงทุนสถาบันหรือกองทุนรวมในประเทศ ซึ่งขายหุ้นออกมาจำนวน 1,560.94 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยแตกตื่นขายอีก 1,584.41 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาลุยช้อนหุ้นจำนวน 2,963.20 ล้านบาท และเป็นยอดซื้อหุ้นที่สูงสุดในรอบหลายสัปดาห์
ตั้งแต่ต้นปีต่างชาติขายหุ้นมาตลอด และหุ้นที่ลงลึกหลุดแนวรับ 1,450 รอบนี้เกิดจากต่างชาติเทขาย ซึ่งมียอดขายหุ้นสะสมนับจากต้นปีจำนวน 163,061.93 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ไม่มีสัญญาณว่าต่างชาติจะกลับมา
เพราะสถานการณ์ของไทยไม่ดีนัก เศรษฐกิจยังฟุบ ค่าเงินบาทอ่อน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท วงเงินรวมประมาณ 500,000 ล้านบาทของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน กำลังถูกต่อต้านหนักหนัก เพราะหลายฝ่ายกังวลว่า จะนำไปสู่วิกฤตหนี้ของประเทศในอนาคต
ตลาดหุ้นไทยไม่มีข่าวดีใดๆ จูงใจ ไม่มีสัญญาณการดีดกลับสู่ความสดใส นักลงทุนต่างชาติจึงทยอยลดน้ำหนักการลงทุนมาต่อเนื่อง จนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์หลายสำนักมีมุมมองเชิงลบต่อทิศทางตลาดหุ้นระยะสั้น และคาดหมายว่า ดัชนีอาจปรับตัวลงสู่แนวรับระดับ 1,400 จุด
ยิ่งเกิดภาวะสงครามในตะวันออกกลาง ยิ่งกดดันให้ดัชนีหุ้นปักหัวลงเหวลึก
แต่โดยที่ไม่มีใครคาดหมาย ต่างชาติกลับมากู้วิกฤต ไล่ซื้อหุ้นคืนเกือบ 3,000 ล้านบาท โดยไม่กังวลการสู้รบอย่างดุเดือดระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ไม่สนใจผลกระทบที่ตามมา
ยังไม่มีคำอธิบายถึงการเปลี่ยนกลยุทธ์ของต่างชาติจากการปักหลักเทขาย หันกลับมาไล่ซื้อ และช่วยประคับประคองตลาดหุ้นไม่ให้ผันผวนมากเกิน
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ดัชนีระดับ 1,400 จุดเศษ อาจเป็นจุดที่ต่างชาติเห็นว่าราคาหุ้นเริ่มถูก และซึมซับรับข่าวร้ายไปมากแล้ว ความเสี่ยงต่ำลง จึงทยอยกลับมาซื้อหุ้นคืน
ถ้าการกลับมาซื้อหุ้นสวนควันปืนในตะวันออกกลางเมื่อวันจันทร์ เป็นเพราะต่างชาติเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลงต่ำ จนจูงใจให้ช้อนเก็บ จะหมายถึงแนวรับหุ้นขาลงคงอยู่แถวนี้ หรืออยู่แถว 1,400 จุดต้นๆ
และแม้จะมีข่าวร้ายกระหน่ำใส่ในทุกทิศทุกทาง ทั้งจากสถานการณ์ภายในประเทศและปัจจัยภายนอก
แต่แนวรับสำคัญระดับ 1,400 จุด น่าจะเอาอยู่ ภายใต้เงื่อนไขว่า จะต้องไม่มีข่าวร้ายที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายถล่มเข้ามาอีก
การกลับมาของต่างชาติเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา จะต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะต่างชาติอาจปักหลักสู้แถวดัชนี 1,400 จุดต้นๆ
ถ้าต่างชาติกลับมาสู้จริง ตลาดหุ้นจะเริ่มตั้งหลักใหม่ในระดับดัชนีแถวนี้แหละ