xs
xsm
sm
md
lg

แนวรับถัดไป 1,450 จุด / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ส่วนใหญ่ประเมินว่า จุดเลวร้ายของตลาดหุ้นรอบนี้ น่าจะอยู่ที่ระดับ 1,480 จุด แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์การลงทุนมีแนวโน้มย่ำแย่เกินกว่าจะคาดคิด

เพราะดัชนีหุ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ถอยร่นลงปิดที่ระดับ 1,482.14 จุด ลดลง 15.01 จุด และมีโอกาสหลุดแนวรับ 1,480 จุด

ต้นเหตุหุ้นทรุดฮวบต่อเนื่อง เป็นผลจากการเทขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งแม้ว่าวันพุธที่ผ่านมาจะกลับมาซื้อกว่า 1,000 ล้านบาท แต่เพียงช่วงข้ามวันเทขาย 2,701 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติกลายเป็นผู้ชี้นำทิศทางการลงทุน จนตลาดหุ้นกลายเป็นลูกไก่ในกำมือฝรั่ง เพราะขายเมื่อไหร่ หุ้นลงเมื่อนั้น แต่ถ้ากลับมาซื้อ หุ้นจะฟื้นตัวสู่ความคึกคัก

นับจากต้นปีต่างชาติมียอดขายหุ้นสะสมสุทธิรวม 158,241.98 ล้านบาท และในช่วง 3 เดือนสุดท้ายหากขายหุ้นต่อเนื่อง ยอดขายสะสมปี 2566 อาจทะลุระดับ 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะหักกลบพอดีกับปีที่แล้วที่ต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิประมาณ 2 แสนล้านบาท

ความหวังที่จะได้เห็นต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นเป็นไปได้น้อยเต็มที อย่างดีอาจหลอกให้นักลงทุนในประเทศดีใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราว กลับมาซื้อเพียงวันสองวัน ก่อนจะถล่มขายอีก เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

เมื่อต่างชาติไม่กลับ ตลาดหุ้นจึงหมดโอกาสโงหัว ดัชนี 1,600 จุด ปีนี้น่าจะไม่ได้เห็นแล้ว แต่สิ่งที่กำลังหาคำตอบคือ จุดต่ำสุดของตลาดหุ้นจะอยู่ที่เท่าไหร่

และขาลงรอบนี้จะลึกขนาดไหน ถอยไปในระดับ 1,450 จุดหรือไม่

ปัจจัยกระตุ้นตลาดหุ้นไม่มีจริงๆ แต่ข่าวลบที่สร้างความกังวลกับนักลงทุนมีอยู่รอบด้าน โดยตลาดหุ้นโลกไร้ทิศทาง เพราะแรงกดดันการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่หมดไป ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ส่วนบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนกำลังเจอวิกฤตใหญ่

เศรษฐกิจภายในประเทศฟุบ แต่แบงก์ชาติจำเป็นต้องขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง 0.25% เพื่อป้องกันเงินทุนไหลออก แต่เงินบาทยังอ่อนค่าต่อไป จนอาจลงไปแตะที่ 37 บาทต่อดอลลาร์ กระตุ้นให้ต่างชาติขายหุ้น ขนเงินกลับบ้าน

หุ้นขนาดใหญ่ปัจจัยพื้นฐานดีตกเป็นเป้าของการเทขายของต่างชาติ หุ้นเก็งกำไรตัวเล็ก รูดลงเหวถ้วนหน้า เพราะเจ้ามือหรือนักลงทุนรายใหญ่ทิ้งหุ้น ขณะที่นักลงทุนรายย่อบบางส่วนทนถือต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจสละเรือ สารภาพบาป ยอมตัดขายขาดทุน

กระดานหุ้นจึงแดงฉาน มีหุ้นตัวเขียวหรือปรับตัวขึ้นประดับประดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ใครที่สะสมหุ้นไว้ในพอร์ต ยิ่งเก็บมาเยอะยิ่งทุกข์หนัก เพราะหุ้นไหลรูดตลอด โดยระยะสั้นเป็นขาลงเต็มตัว และไม่มีสัญญาณการดีดตัวกลับ แต่อาจปรับฐานลงต่อ ซึ่งประเมินไม่ถูกว่าจุดต่ำสุดจะหยุดลงที่ใด

ดัชนีสิ้นปี 2565 ปิดฉากลงที่ระดับ 1,668.66 จุด เพิ่มขึ้น 0.67% เมื่อเทียบกับจุดปิดปี 2564 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นที่น้อยมาก เนื่องจากเกิดปัญหาสงครามรัสเซียกับยูเครน นำไปสู่ราคาน้ำมันที่พุ่งทะยาน สร้างปัญหาเงินเฟ้อ จนธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องขึ้นดอกเบี้ยหลายระลอก

แม้ต่างชาติจะซื้อหุ้น 202,694 ล้านบาท และเป็นการกลับมาซื้อครั้งแรกในรอบ 5 ปี แต่เพียงแค่ช่วยประคองตลาดหุ้นไม่ให้ผันผวนรุนแรงเท่านั้น

แต่ปีนี้ต่างชาติขนของเก่าออกมาขาย ฉุดดัชนีทรุดลงไปแล้วกว่า 180 จุด และช่วงไตรมาสสุดท้ายไม่มีสัญญาณบ่งชี้การกลับมาของต่างชาติ หุ้นจึงติดหล่มกับความซบเซาและการแกว่งตัวลงต่อ

หลายปีแล้วที่นักลงทุนต้องขนเงินมาจมในตลาดหุ้น มีคนทำกำไรได้น้อยมาก ส่วนใหญ่ “ติดดอย” ต้องทนแบกหุ้นต้นทุนสูงไว้ในพอร์ต โดยหวังว่าหุ้นจะฟื้นขึ้นมาใหม่

แต่นับจากวิกฤตโควิด หุ้นเจอมรสุมข่าวร้ายไม่หยุดหย่อน จนไม่มีปีใดที่สดใส ทำได้แค่ทรงๆ ทรุดๆ และปีนี้น่าจะเป็นปีที่ทรุดหนักสุด

เพียงแต่เดาไม่ถูกว่าสิ้นปีดัชนีจะเหลือเท่าไหร่ 1,500 จุด มีโอกาสได้เห็นกันอีกไหม



กำลังโหลดความคิดเห็น