xs
xsm
sm
md
lg

ส่อง 7 กลุ่มหุ้นรับผลกระทบรัฐบาล "ก้าวไกล" ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเซียพลัสเปิดโผ 7 กลุ่มอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมากแค่ไหนหากรัฐบาลก้าวไกล เดินหน้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาท ระบุกลุ่มรับเหมาฯ หนักสุด เหตุค่าแรงขึ้นทุก 1% กระทบต้นทุน 0.10-0.15% ขณะที่อสังหาฯ กลุ่มที่อยู่อาศัย ต้นทุน 40-50% มาจากการก่อสร้างและแรงงาน แต่คาดอาจใช้วิธีการปรับขึ้นราคาขาย และการบริหารจัดการด้านอื่นมาชดเชยได้ ส่วนโรงแรมคาดกระทบกำไร 6-7% ต่อค่าแรงขึ้นทุก 30% ยกเว้นพลังงาน สื่อสารไม่สะเทือน มองหากราคาหุ้นตอบสนองต่อประเด็นนี้มากเกินไปถือเป็นโอกาสสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่ง

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยว่า หลังจากพรรคก้าวไกลเป็นแกนถลงนำจัดตั้งรัฐบาล โดยล่าสุดได้แถลงการเซ็น MOU พรรคร่วมรัฐบาล 23 ข้อ ไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา และหนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือ การร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม ซึ่งนโยบายดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ซึ่งจะขึ้นค่าแรง 450 บาททันทีในปี 2566

ดังนั้นจึงนำเสนอผลกระทบในแต่ละอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าว ดังนี้

รับเหมาฯ กระทบหนักสุด เหตุใช้แรงงานมากที่สุด

1.กลุ่มรับเหมาก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานจำนวนมาก โดยต้นทุนค่าแรงที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำ จะอยู่ในส่วนของคนงานก่อสร้างที่มีทั้งการจ้างโดยตรงและการจ้างผ่านผู้รับเหมาช่วง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20-30% ของต้นทุนก่อสร้าง โดยเงินที่จ้างผ่านผู้รับเหมาช่วงจะมีการรวมทั้งค่าแรงงานและค่าวัสดุก่อสร้างเข้าไปด้วย หากตั้งสมมติฐานว่าค่าแรงอย่างเดียวคิดเป็นสัดส่วน 50% ของค่าจ้างเหมาช่วง เท่ากับว่าต้นทุนที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 10-15% ของต้นทุนก่อสร้าง

ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุก 1% จะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้าง 0.10-0.15% แต่ในทางปฏิบัติหากมีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจริง บริษัทรับเหมาก่อสร้างและบริษัทที่รับเหมาช่วงจะแบ่งกันรับภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นไปคนละส่วน อีกทั้งบริษัทรับเหมางานภาครัฐจะมีเงินชดเชยจากค่า K ซึ่งมีเงินเฟ้อเป็นองค์ประกอบในการคำนวณด้วย

เพราะฉะนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุก 1% ฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างไม่เกิน 0.1% อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมที่มีอัตรากำไรสุทธิต่ำมากเพียง 2-3% เท่านั้น การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของต้นทุนก่อสร้างจึงกระทบต่อกำไรของกลุ่มฯ ค่อนข้างมีนัยสำคัญ

นิคมฯ กระทบวงจำกัด แถมได้นโยบายภาษีมาชดเชยในช่วงก่อนหน้า

2.กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ประเมินว่าผลกระทบของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะมีผลกระทบต่อยอดขายที่ดินนิคมฯ ในวงจำกัด เนื่องจากช่วงปี 2553-2555 ที่มีการปรับขึ้นค่าแรงจาก 215 บาท/วัน เป็น 300 บาท/วัน (+40%YoY) ยอดขายยอดขายที่ดินนิคมฯ ไม่ได้ลดลง อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดังกล่าวมีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงมาเป็นการชดเชยด้วย

ในรอบนี้จึงต้องรอติดตามว่าจะมีแนวทางใดเข้ามาดึงดูดความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนเป็นการชดเชย แม้ค่าแรงจะปรับเพิ่ม แต่ประเทศไทยยังมีจุดเด่นที่เหนือกว่าประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมและกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดิน เป็นต้น

กลุ่มที่อยู่ฯ ระบุมีต้นทุนก่อสร้างและแรงงาน 40-50%

3.กลุ่มอสังหาฯ แนวโน้มการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในระดับสูงของรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของพรรคก้าวไกลที่จะปรับขึ้นเป็น 450 บาท/วัน ย่อมส่งผลเชิงลบต่อต้นทุนการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยทุกราย โดยหากพิจารณาโครงสร้างต้นทุนสัดส่วนหลัก 30-40% มาจากต้นทุนที่ดิน ตามด้วยต้นทุนก่อสร้างและแรงงาน 40-50% ที่เหลือเป็นงานโครงสร้างและอื่นๆ ภายใต้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและปัจจัยอื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากอิงจากข้อมูลของผู้ประกอบการบางรายประเมินต้นทุนการพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 10% ย่อมกระทบต่อประสิทธิภาพทำกำไร

แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการจะสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ผ่านการส่งผ่านไปยังราคาขายตามต้นทุนใหม่ ซึ่งหมายถึงราคาขายอาจต้องปรับขึ้น 5-10% เพื่อรักษามาร์จิ้นไว้ รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนอื่น เช่น ใช้ประโยชน์จากระบบ Precast ในการก่อสร้างมากขึ้นเพื่อลดแรงงานคน ปรับรูปแบบสินค้า เปลี่ยนวัสดุ ลดขนาดบ้าน เพื่อไม่ให้กระทบต่อมาร์จิ้นอย่างมีนัย

ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพทำกำไรตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2551-2565) พบว่า ผู้ประกอบการยังสามารถรักษา GrossMargin ในกรอบ 33-35% และ Norm Profit กรอบ 13-15% แม้เผชิญกับวัฏจักรเรื่องต้นทุนก่อสร้างและแรงงานที่ปรับขึ้นก็ตาม (ยกเว้นปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดและส่วนใหญ่เน้นขายสต๊อกพร้อมลดราคา ทำให้ GP ปีดังกล่าวลงมาอยู่ที่ 31% และ Norm Profit อยู่ที่ 12.5% ก่อนเห็นการฟื้นตัวขึ้นในปีถัดไป)

ชี้โรงแรมกระทบกำไร 6-7% ต่อค่าแรงขึ้นทุก 30%

4.กลุ่มโรงแรม กลุ่มที่มีโครงสร้างรายได้จากไทยเป็นหลัก อย่าง ERW, CENTEL มีสัดส่วนค่าแรงราว 25-30% ของ OPEX โดยภายใต้ SensitivityAnalysis พบว่าทุก 30% ที่เพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำจะกระทบต่อประมาณการกำไรปกติราว 6-7% (สุทธิจากอัตราภาษี 20%) อย่างไรก็ดี ประเด็นค่าแรงขั้นต่ำต่อกลุ่มโรงแรมยังต้องติดตาม เพราะธุรกิจโรงแรมมี Service chart สูง ซึ่งหลังรวม Service chart น่าจะสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

ขณะที่ MINT ด้วยโครงสร้างรายได้ที่มาจาก EU ราว 50% ของรายได้รวม จึงประเมินได้รับผลกระทบจากกรณีค่าแรงต่ำสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มฯ ส่วน AOT ช่วง1H66 (ต.ค.65-มี.ค.66) มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายพนักงาน 32% ของ OPEX แต่ส่วนใหญ่ฐานเงินเดือนไม่ได้อิงกับค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน มีเล็กน้อยที่อิงกับค่าแรงขั้นต่ำในกลุ่มสัญญาจ้าง Outsource จึงคาดว่ากระทบน้อยกว่า 2 บริษัทข้างต้น

โดยกลยุทธ์การลงทุนหุ้น Reopening ใน SET50 เรียงดังนี้ MINT(FV@B38) 2Q66 มีโอกาส Outperform กลุ่มจาก High Season ใน EU และผลกระทบค่าแรงต่ำกว่ากลุ่ม > AOT(FV@B80) ส่วนลดให้คู่ค้าเริ่มกลับสู่ระดับปกติและราคาหุ้นตั้งแต่เปิดประเทศช่วงปี 2564 ยังขึ้นช้ากว่ากลุ่ม > CENTEL(FV@B60) ราคานี้ Risk to reward เริ่มน่าสนใจ

พลังงานและปิโตรเคมีไม่ได้รับผลกระทบทางตรง

5.กลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ภาพรวมธุรกิจในอุตสาหกรรมพลังงานไม่ได้อิงกับการใช้แรงงาน โดยโครงสร้างต้นทุนส่วนใหญ่จะอิงกับราคาพลังงาน ค่าเสื่อมราคาเป็นหลัก ในขณะที่ค่าใช้จ่ายพนักงาน (SG&A) ส่วนใหญ่จะเป็นการจ่ายในรูปแบบของเงินเดือน โบนัส ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงไม่ได้ส่งผลผลกระทบโดยตรงอย่างมีนัยต่อโครงสร้างต้นทุน หรือผลการดำเนินงานบริษัทในกลุ่มนี้

กลุ่มค้าปลีก คาดกระทบค่าใช้จ่ายไม่ถึง 0.5%

6.กลุ่มค้าปลีก คาดได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท/วันอยู่บ้าง ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่เราศึกษาส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะพนักงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนพนักงานทั้งหมด (ราว 10-20%) ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงจะมีสัดส่วนต่ำกว่า 0.5% ของยอดขายของแต่ละราย แต่คาดหมายยอดขายที่จะเพิ่มขึ้นได้ในระยะถัดไปได้จากกำลังซื้อที่มีเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ คาดค่าแรงที่สูงขึ้นจะชดเชยได้บางส่วนจากค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มีแนวโน้มลดลงในช่วง 2H66 โดยเฉพาะค่าสาธารณูปโภคที่มีจะประหยัดได้จากค่าไฟฟ้าที่ลดลงตามค่า Ft ที่เริ่มลดลงแล้วตั้งแต่งวด เม.ย.-ก.ค.66 และยังมีแนวโน้มลดลงได้ต่อไปอีกในงวด ส.ค.-พ.ย.66 ด้านธุรกิจร้านอาหาร อย่าง M ค่าใช้จ่ายพนักงานคิดเป็นสัดส่วนราว 50% ของ SG&A บน Sensitivity Analysis ทุก 30% ที่เพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำจะกระทบต่อประมาณการกำไรปกติ M ราว 12% (สุทธิจากอัตราภาษี 20%)

กลุ่มสื่อสารค่าแรงสูงอยู่แล้ว ไม่ได้รับผลกระทบ

7.กลุ่มสื่อสาร หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท/วัน ผลต่อการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่ม ICT มีน้อยมาก เพราะพนักงานส่วนใหญ่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้งาน AI ช่วยในการดำเนินงานแทนพนักงานด้วย (เช่นงาน Call center ของบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือ)

สรุป ประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท/วัน หากเกิดขึ้นจริงคาดผลกระทบในแต่ละอุตสาหกรรมแตกต่างกันออกไป แต่อยู่ในวงจำกัด (ไม่มีนัยมากนัก) ดังนั้นหากราคาหุ้นตอบสนองต่อประเด็นนี้มากเกินไป ถือเป็นโอกาสในการสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น