xs
xsm
sm
md
lg

SCB WEALTH เผยกลยุทธปี 66 มุ่งดูแลลูกค้า ยกระดับบริหารพอร์ตรับ ศก.ฟื้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wholesale และรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เปิดเผยในงาน SCB WEALTH Holistic Experts หัวข้อ “2023 Investment Strategy Framing a Future After a Perfect Storm” ว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ตลาดการลงทุนโลกและไทยมีปัจจัยที่ท้าทายและมีความผันผวนสูง ทำให้ภาพรวมธุรกิจ Wealth ในไทยล้วนได้รับผลกระทบ โดยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของธุรกิจบริษัทจัดการกองทุนรวม (Investment AUM) โดยรวมลดลงกว่า 10% อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของ SCB Wealth ลดลงในอัตราที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ผลิตภัณฑ์ของ SCB Wealth ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เช่น ตราสารอนุพันธ์ที่อิงกับหุ้นสามัญ (KIKO) ซึ่งยังคงครองอันดับ 1 ในตลาดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปี 2565 โตเพิ่ม 54% หุ้นกู้อนุพันธ์แฝงอ้างอิงดอกเบี้ย (THOR) ครองอันดับ 1 ในตลาด) และ Private Asset ที่มียอดรวมเพิ่มขึ้น 153% จากปีที่ผ่านมา

สำหรับกลยุทธ์ในปี 2566 เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างด้วยการยกระดับการให้บริการและคำปรึกษาผ่านช่องทาง Digital Wealth ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกช่องทางแบบไร้รอยต่อ (Omni-channel) และต่อยอดความมั่งคั่งให้แก่ลูกค้าของธนาคาร ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบ open architecture ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างครบวงจร

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้โลกของการลงทุนเริ่มสดใสมากขึ้น แต่ตลาดการเงินมีความผันผวนในช่วงครึ่งปีแรก ในช่วงเวลานี้แนะนำให้ทยอยลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ เพราะโอกาสที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้จะปรับเพิ่มขึ้นในระดับสูงมีค่อนข้างจำกัด นอกจากนี้ แนะนำให้เพิ่มอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ โดยทยอยเพิ่ม Duration ในพอร์ตการลงทุน และเน้นเลือกหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงทั้งของไทยและต่างประเทศ เนื่องจากมีความสามารถในการชำระหนี้และจ่ายดอกเบี้ยได้แม้ในช่วงเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว และยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงกลุ่มตราสารหนี้อันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (High Yield) โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่บางประเทศที่มีความเสี่ยงปัญหาสภาพคล่อง โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในหลายประเทศที่อาจเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้

ขณะเดียวกัน เป็นโอกาสที่ดีในการคัดเลือกสินทรัพย์ที่น่าสนใจในราคาไม่แพง โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน A-Share เนื่องจากดัชนีมีแนวโน้มได้รับแรงหนุนจากการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภค ส่วนตลาดหุ้นจีน H-Share ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองของจีนเช่นกัน และตลาดหุ้นไทยได้รับผลบวกจากเศรษฐกิจฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว มีแรงหนุนจากมาตรการช้อปดีมีคืน และการใช้จ่ายช่วงก่อนเลือกตั้ง โดยเน้นหุ้นกลุ่มพาณิชย์ ขนส่ง และสาธารณูปโภค และตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่มีแรงหนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่เติบโต โดยเฉพาะช่วง 1 ปีก่อนที่จะมีการเลือกตั้งต้นปี 2567

สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนในปีนี้ จะยังคงมุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภทหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง หรือ Structured Note ซึ่งมีการป้องกันความเสี่ยงในช่วงขาลงเอาไว้ (Downside Protection) และผลิตภัณฑ์การลงทุนประเภท Thematic ที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ขณะเดียวกัน ยังให้ความสำคัญกับการดูแลพอร์ตลงทุนของลูกค้าให้มีสินทรัพย์ลงทุนหลากหลายมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้มั่งคั่งอย่างยั่งยืน ขณะที่ความเสี่ยงโดยรวมลดลง และเน้นย้ำให้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในกรณีที่ไปลงทุนในต่างประเทศ

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) เปิดเผยว่า InnovestX คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ที่ 1,750 จุด โดยหุ้นไทยเน้นการฟื้นตัวจากปัจจัยภายในและการท่องเที่ยว แม้ว่าปัจจัยภายนอกค่อนข้างท้าทายแต่เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2566 ได้แก่ 1) นักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตโดดเด่น ภาคบริการฟื้นตัว 2) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 3) ผลกระทบจากนโยบายการเงินค่อนข้างจำกัด 4) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกปี 2566 และ 5) การเติบโตมีแนวโน้มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ ด้วยสภาพตลาดหุ้นที่ยังคงมีความผันผวน จึงแนะนำแบ่งหุ้นเป็น 2 พอร์ต สัดส่วน 70:30 โดยพอร์ตที่ 1 (70%) เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่ได้ประโยชน์จากเปิดเมืองของจีนและเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว 2) มีอัตราการเติบโตดีต่อเนื่อง 3) มีความเป็นหุ้นเชิงรับ ส่วนพอร์ตที่ 2 (30%) เป็นหุ้นเก็งกำไร ที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะ Turnaround ได้ในปี 2023 โดยเป็นบริษัทที่ความเสี่ยงด้านฐานะทางการเงินต่ำ โดยหุ้นแนะนำ ในพอร์ตที่ 1 ได้แก่ AOT, BBL, BDMS, CPALL, CRC, GPSC และ SCGP ส่วนในพอร์ตที่ 2 ได้แก่ AU, HANA และ SECURE
กำลังโหลดความคิดเห็น