นายวิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ Vice President Investment Consultant บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 66 ทางเครดิต สวิส ได้มองเป้าดัชนี SET สิ้นปี 66 ที่ 1,870 จุด มีอัปไซด์จากสิ้นปี 65 ราว 12% แม้ว่าระดับ P/E ปัจจุบัน 15-16 เท่าจะไม่ได้ถูก แต่มองว่าจะได้รับแรงหนุนจากมุมมองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะปัจจัยหนุนหลักจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาดีขึ้นต่อเนื่องหลังจากจีนเปิดประเทศ ทำให้มีความคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาช่วยผลักดันภาคการท่องเที่ยวของไทยได้ และช่วยลดผลกระทบของภาคส่งออกที่อาจจะเผชิญกับความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ด้วยเช่นกัน
ด้านกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะยังเห็นทิศทางที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคและการท่องที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดี อีกทั้งค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าค่อนข้างเร็วที่แถว 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในโหมดเพิ่งฟื้นตัว และความคาดหวังดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะดีขึ้น ขณะที่แรงกดดันด้านราคาน้ำมันเริ่มผ่อนคลายลง ทำให้มีเงินไหลเข้ามาในไทยในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่ และตลาดหุ้นอีกบางส่วน ทำให้ภาพของ Fund Flow ในปีนี้มองว่าต่างชาติยังมีโอกาสที่เป็นขาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยได้
สำหรับปัจจัยทางการเมืองไทยในปี 66 ถือว่าเป็นประเด็นที่ต้องจับตา เพราะมีผลต่อมุมมองของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่รอดูการจับขั้วตั้งรัฐบาล และนโยบายผลักดันเศรษฐกิจ ในแง่ของการลงทุน และการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นหลังจากผ่านการเลือกตั้ง
"ตามสถิติในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา 3 ครั้ง ในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งตลาดหุ้นไทยถือว่าค่อนข้าง Underperform ตลาดหุ้นเอเชีย เพราะนักลงทุนจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูการจัดตั้งรัฐบาลและนโยบายที่จะออกมา หลังจากนั้น จะค่อยกลับมาลงทุนเมื่อปัจจัยทางการเมืองมีความชัดเจน และนโยบายมีผลบวกอย่างชัดเจนต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทางเครดิต สวิส มองว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวนได้ในระยะสั้น" นายวิริยะชัย กล่าว
ธีมการลงทุนในปีนี้ เครดิต สวิสให้น้ำหนักอันดับแรกเป็นกลุ่มหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากการบริโภคที่ฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่ม Consumer ที่เกี่ยวข้องกับการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศ และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทย
รองลงมาเป็นกลุ่มหุ้นท่องเที่ยวและกลุ่ม Health care ซึ่งยังคงได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว มีชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศมากขึ้น แต่ราคาสะท้อนปัจจัยบวกไปมากแล้ว และราคาหุ้นปรับสูงขึ้น ทำให้มูลค่าหุ้นถือว่าปรับมาค่อนสูงแล้ว จึงให้น้ำหนักรองลงมา