บลจ.กสิกรไทยชี้หุ้นเวียดนามยังลงทุนได้ ราคาปรับลดเยอะ เชื่อมีโอกาสฟื้นตัวหลังปีที่ผ่านมาดึงหนัก 32% ระบุปัจจัยพื้นฐานแกร่ง การเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง ต่างชาติสนใจลงทุนเพียบ แนะจับตาเงินเฟ้อและสภาพคล่อง แต่เชื่อรัฐบาลและธนาคารกลางเวียดนามมีแผนรับมือ
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาดัชนี VNI ปรับตัวลงกว่า 32% แต่ต้นปี 2565 ที่ทำ All time high ที่ 1,500 จุด จากความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed และอัตราเงินเฟ้อซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั่วโลกแล้ว การปรับตัวลงของตลาดหุ้นเวียดนามในปีนี้มีสาเหตุหลักเริ่มมาจากมาตรการของทางการที่ออกมาปราบปรามเรื่องการปั่นหุ้นและ Anti-corruption ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน ทำให้มีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อตลาดหุ้นในหลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอสังหาฯ และธนาคารพาณิชย์ รวมถึงช่วงต้นเดือนตุลาคมที่มีข่าวการจับกุมประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ Van Thinh Phat Group ข้อหาทุจริตหุ้นกู้ (เหตุการณ์เกิดขึ้นปี 2018-2019) ตลอดจนมีข่าวลือว่ามีธนาคารพาณิชย์เอกชนรายใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดแรงขายจากนักลงทุนรายย่อย ซึ่งมีการใช้ Margin Loan ถูก Force Sell อย่างต่อเนื่อง (นักลงทุนรายย่อยที่ใช้บัญชี Margin ซึ่งเป็นบัญชีการกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นเวียดนาม ถูกบังคับขายจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรง) โดยตลาดหุ้นได้ปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง และมีแรงขายอย่างหนักอีกครั้งในเดือนกันยายน จากความกังวลเรื่องสภาพคล่องในระบบ
ส่วนในปีนี้คาดว่าเวียดนามน่าจะเจอเรื่องเงินเฟ้อมากกว่าในภูมิภาคเดียวกัน แต่ด้วยการตรึงค่าไฟของภาครัฐและราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาต่ำกว่า 10 เท่าทำให้ดูมีความน่าสนใจและยังสามารถลงทุนได้ โดยในระยะกลางถึงระยะยาวเรายังมีมุมมองเชิงบวกจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ การลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างประเทศ การส่งออก และการบริโภคในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในระดับสูง และระดับ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ เรามองว่าการเข้ามาปราบปรามเรื่องการปั่นหุ้นและการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจังจะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามมีเสถียรภาพและความโปร่งใสมากขึ้น ซึ่งหากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง ตลาดเวียดนามจะสามารถฟื้นตัวได้ดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยการฟื้นตัวของ GDP เวียดนามคาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าประเทศอื่นด้วยแรงสนับสนุนจากการส่งออกและการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้ ในอนาคตตลาดหุ้นเวียดนามยังมีโอกาสในการถูกปรับสถานะจากตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) สู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ก็จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้อีกมาก
"ปัจจุบันดัชนี VN Index ซื้อขายอยู่ที่ discount อย่างมาก โดย 2566 P/E 12 เดือนอยู่ที่ 9.5 เท่า (-2SD จาก P/E เฉลี่ย 5 ปี) ประมาณการ Bloomberg consensus โดยปัจจุบันตลาดมีการคาดการณ์ Earnings growth ในปี 2566 ที่ 12% ราเป้าหมายดัชนีปลายปีที่ระดับ 1,200 จุด
ในระยะสั้น เราคาดว่าตลาดยังมีความผันผวนอยู่สูง และปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นน่าจะยังคงกดดันผลตอบแทนจากตลาดหุ้นเวียดนามต่อไป เราคาดว่าจากมาตรการความช่วยเหลือของรัฐบาลที่เริ่มทยอยออกมาซึ่งจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในตลาดอสังหาฯ และผ่อนคลายความกังวลของนักลงทุนรายย่อย" นางสาวธิดาศิริกล่าว
อย่างไรก็ตาม ประเด็นใหญ่ที่เราต้องจับตามองของประเทศเวียดนามในขณะนี้เป็นเรื่องปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งอาจต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลร่วมด้วยในการแก้ปัญหา โดยในปัจจุบันรัฐบาลได้ทยอยออกมาตรการมาช่วยเหลือในหลายรูปแบบ เช่น
1) การออกตราสารหนี้ผ่านการปรับปรุงฎีกาฉบับที่ 65 (Decree 65) ซึ่งจะช่วยลดความกังวลและแก้ไขปัญหาสภาพคล่องในระบบ 2) ธนาคารกลางเวียดนามได้ออกมาประกาศเพิ่มอัตราขยายตัวของสินเชื่ออีก 1.5-2% เป็น 15.5-16% 3) ธนาคารกลางเวียดนามได้ส่งสัญญาณการเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในระบบหลังจากการเพิ่มอัตราขยายตัวของสินเชื่อโดยมีการใช้สัญญาการซื้อคืน (repo) เป็นระยะเวลา 3 เดือน