บลจ.กสิกรไทยเชื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นสวนเศรษฐกิจโลกชะลอตัว รับอานิสงส์เปิดประเทศหนุนการท่องเที่ยวโตกว่าปีที่ผ่านมา แถมจีนกำลังเปิดประเทศช่วยเร่งอัตรานักท่องเที่ยวเพิ่ม ส่วนหุ้นไทยปีนี้ดัชนีมีโอกาสแตะ 1,800 ความเสี่ยงขาลงต่ำกรอบ 1,550 ต้านอยู่ เหตุเงินเฟ้อใกล้จบ การท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นทั้งปี ระบุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังต่อเนื่อง การเลือกตั้งไม่กระทบการสานต่อนโยบายเดิม
นายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2023 คาดว่าจะชะลอตัวลงจากผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ ต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยจะส่งผลให้แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนชะลอตัว จากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และอุปสงค์ที่ชะลอลง ทำให้ตลาดหุ้นจะยังมีความผันผวน อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว Cycle อัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้จุดสูงสุด ทำให้ราคาตราสารหนี้เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
ขณะที่ปัจจัยที่ถือเป็นความเสี่ยงและต้องจับตาในปีนี้ ได้แก่ การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ทิศทางตัวเลขเงินเฟ้อ ทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความคืบหน้าการเปิดประเทศอย่างสมบูรณ์ของจีน รวมทั้งการเลือกตั้งของไทย
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าในการดึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยให้ได้จำนวน 20 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศกว่า 2.38 ล้านล้านบาท หลังจากในปี 2565 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามากว่า 10 ล้านคน และมีค่าเฉลี่ยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพิ่มสูงถึง 70,000 คนต่อวัน และคาดว่าสิ้นปี 2565 คงปิดปีได้ไม่น้อยกว่า 11 ล้านคน
นอกจากนี้ การที่จีนกำลังจะมีแผนเปิดประเทศ หนุน GDP ไทยขยายตัว การทยอยเปิดประเทศจีนนี้จะช่วยลดผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัว และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า 10% ของจีดีพี หรือ 61% ของรายได้ทั้งหมดก่อนสถานการณ์การระบาดของ Covid-19
ด้าน นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า บริษัทคาดว่าดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2566 ที่ 1,800 จุด มีปัจจัยสนับสนุนหลักภายในประเทศมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและการทยอยกลับมาเปิดดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามปกติ ด้านค่าเงินบาทคาดว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นจากเงินเฟ้อที่พ้นจุดสูงสุดไปแล้ว และดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล และหากค่าเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่า จะหนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องเฝ้าดูอย่างต่อเนื่องทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทิศทางตัวเลขเงินเฟ้อ ทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ความคืบหน้าการเปิดประเทศอย่างสมบูรณ์ของจีน รวมทั้งการเลือกตั้งของไทย
สำหรับการเลือกตั้งของไทยที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 เชื่อว่านโยบายต่างๆ ที่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจจะยังต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อนหน้า โดยการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะทำให้เกิดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา ซึ่งนี่จะเป็นแรงหนุนที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2566 จากภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จากการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง อย่างมาตรการช้อปดีมีคืน ปี 2566 ตั้งแต่ 1 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2566 ด้วยวงเงินสูงถึง 40,000 บาท, มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2566 ในอัตรา 15%, ลดค่าธรรมเนียมจดสิทธิบัตรที่อยู่อาศัย, มาตรการช่วยเหลือผู้กู้ยืมเงิน ไปจนถึงการส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ลงทุนมีศักยภาพในการสร้างสุขภาพการเงินที่ดี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปี 2566 ให้คึกคักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
"หุ้นไทยปีนี้น่าจะดีกว่าในปีที่ผ่านมาเนื่องจากจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศ ต่างจากในปีก่อนที่ได้รับประโยชน์เพียงแค่ในช่วงครึ่งปีหลังเท่านั้น และเชื่อว่าความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงคงไม่มากดัชนีที่ 1,550 จุดน่าจะสามารถรองรับได้ เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อพ้นจุดวิกฤตแล้ว โดยปีที่ผ่านมาภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่เงินเฟ้อน่าจะพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว จึงช่วยลดแรงกดดันการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.ได้ และไม่ต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงแบบประเทศอื่น" นางสาวธิดาศิริกล่าว