ธนาคารซิตี้แบงก์มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 4.3% ในปี 66 โดยมีสัญญาณเชิงบวกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5% อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ซิตี้ยังคงแนะนำให้มีการวางมาตรการเพื่อรองรับความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สอดคล้องกับเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีภาพรวมเป็นไปในทิศทางบวก จากการสิ้นสุดของการปรับนโยบายการเงินในหลายประเทศ และแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนต่อเนื่องในหลายเศรษฐกิจ ในส่วนของการเปิดประเทศของจีนน่าจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคในระดับต่ำในช่วงครึ่งแรกของปี 2566
น.ส.นลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังการเปิดประเทศเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยยังคงประมาณการการเติบโตของ GDP ที่ 4.3% ซึ่งมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวราว 23 ล้านคน ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ประมาณ 10.1 ล้านคน นอกจากนี้ ยังจะได้แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนจากการฟื้นตัวของรายได้ภาคบริการ ภาคการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งอาจกระทบการลงทุนภาคเอกชนบ้าง แต่คาดว่ากการลงทุนยังมีแรงหนุนจากแผนพัฒนาระยะยาวของธุรกิจกลุ่ม BCG ที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ และโครงการ EEC
สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2566 คาดการณ์ว่าจะพลิกกลับมาเกินดุลประมาณ 3.8% ของ GDP แม้ภาคการส่งออกจะชะลอตัว แต่ยังได้อานิสงส์จากรายได้ภาคการท่องเที่ยว รายจ่ายค่าขนส่งในดุลบริการที่ลดลง และการขาดดุลการค้าที่มีแนวโน้มลดลงจากการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาลดลง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยอาจยังคงเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้ออยู่บ้างหากราคาพลังงานปรับสูงขึ้น แม้ว่าซิตี้คาดการณ์ (base case) ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5% ในปี 2566 พร้อมทั้งซิตี้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 2.25% ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ซึ่งการปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไปในสภาวะที่สภาพคล่องของเงินภายในประเทศยังอยู่ในระดับสูง น่าจะช่วยลดผลกระทบต่อธุรกิจและครัวเรือน อย่างไรก็ดี หากการขยายตัวของเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ ฐานะการคลังของประเทศไทยยังคงพอมีพื้นที่เหลือสำหรับการประคอง หรือกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง น.ส.นลิน กล่าวทิ้งท้าย
ด้าน น.ส.โจฮานนา ชัว หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำซิตี้กรุ๊ป กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2566 คาดการณ์เติบโต GDP ที่ 4.4% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.5% ในปี 2565 แม้มีปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดความเปราะบาง เช่น สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา หรือการพุ่งขึ้นของราคาสินค้า แต่คาดว่าเศรษฐกิจในภูมิภาคจะมีการฟื้นตัวและเติบโตอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการสิ้นสุดของปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้นในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกในปี 2566 รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ อีกทั้งการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในครึ่งปีหลังของปี 2566 จะช่วยลดความกดดันของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ขณะที่การเปิดประเทศจีนในครึ่งหลังของปี 2566 แม้ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภายในภูมิภาค แต่อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างสิงคโปร์ เวียดนาม และไทยกินระยะเวลานานขึ้น
น.ส.โจฮานนา กล่าวเสริมว่า สำหรับแนวโน้มการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศในปี 2566 ซิตี้แบงก์คาดการณ์ว่าจะมีการชะลอตัวนำโดยกลุ่มเทคโนโลยีจนถึงช่วงกลางปี 2566 ก่อนฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในลักษณะ U-shape ในครึ่งหลังของปี นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นแนวโน้มการลงทุนที่ค่อนข้างมาแรงของ 2 ประเทศในภูมิภาคที่น่าจับตามอง ได้แก่ อินเดีย และอินโดนีเซีย โดยอินเดียจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2566 รวมถึงอัตรากำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนตรงจากต่างประเทศที่สูงเป็นประวัติการณ์ ส่วนฝั่งของอินโดนีเซียคาดว่าจะเห็นการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมโลหะคาร์บอนต่ำและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า