xs
xsm
sm
md
lg

จุดจบ “อภิมุข บำรุงวงศ์” หัวโจกปล้น MORE / สุนันท์ ศรีจันทรา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปฏิบัติการปล้นโบรกเกอร์วงเงินประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยการโยนคำสั่งซื้อขายหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE จำนวน 1,531.77 ล้านบาท ในช่วง ATO หรือราคาเปิดการซื้อขายเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังไม่กลัวคุกตะรางบ้างหรือ

บุคคลที่มีชื่อเสียงแวดวงตลาดหุ้น และถูกพาดพิงว่าเกี่ยวข้องกับคำสั่งซื้อขายพิสดารหุ้น MORE โดยตกอยู่ในข่ายผู้ถูกจับตาว่า ร่วมขบวนการ ประกอบด้วย นายอภิมุข บำรุงวงศ์ หรือฉายา “ปิงปอง” อดีตมาร์เกตติ้ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด วัยเพียง 30 ปีเศษ

นายอมฤทธิ์ กล่อมจิตเจริญ หรือเสี่ยม้อ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ MORE สัดส่วน 23.69% ของทุนจดทะเบียน และนายเอกภัทร พรประภา หรือไฮโซคิม

ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนในการปล้นเงินก้อนมหึมาจากโบรกเกอร์ แต่ข้อมูลคำสั่งซื้อขายหุ้น MORE จำนวน 1,531.77 ล้านบาท บ่งชี้ไปที่นายอภิมุข ซึ่งอยู่ในฐานะหัวโจกของขบวนการ

มีข่าวลือว่าตัวแทน หรือนอมินีที่เปิดบัญชีไว้กับโบรกเกอร์ประมาณ 20 แห่ง และรับใบสั่งขายหุ้น MORE ช่วง ATO หลายคนเผ่นหนีไปแล้ว

แต่นายอภิมุข ยังอยู่สู้กับกระแสลบที่พุ่งเข้าใส่

นายอภิมุข ลาออกจากบริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย มาหลายปีแล้ว หันมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว และชักชวนนักลงทุนให้ร่วมลงทุนซื้อขายหุ้น โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง ซึ่งมีนักลงทุนส่วนหนึ่งฝากเงินให้บริหารจัดการลงทุน

ไม่รู้ว่าความร่ำรวยของนายอภิมุข มาจากแหล่งใด แต่ภายในเวลาไม่กี่ปีมีเงินนับพันล้านบาท ล่าสุด ไม่กี่วันก่อนตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ เพิ่งอวดความร่ำรวยพร้อมไฮโซคิม โดยสะสมรถซูเปอร์คาร์มูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท

ส่วนปฏิบัติการปล้นโบรกเกอร์รวมประมาณ 30 ราย ไม่ใช่การจับเสือมือเปล่า แต่ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยต้องทยอยเก็บสะสมหุ้น MORE จำนวนกว่า 2,000 ล้านหุ้น ทั้งถือในนามตัวเอง และถือผ่านนอมินี

หุ้น MORE จำนวนประมาณ 500 ล้านหุ้น ต้องนำไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อขอวงเงินสินเชื่อเพื่อการซื้อหุ้น หรือมาร์จิ้นกับโบรกเกอร์ประมาณ 11 แห่ง และหุ้นอีกจำนวนกว่า 1,500 ล้านหุ้น จะต้องกระจายให้นอมินีถือไว้เพื่อรอคำสั่งขายผ่านโบรกเกอร์ประมาณ 20 แห่ง

ไม่มีใครรู้ว่าต้นทุนหุ้น MORE ที่นายอภิมุข หรือผู้ร่วมขบวนการซื้อมาในราคาเท่าไหร่ ซึ่งหากคำนวณจากต้นทุนของเสี่ยม้อ ที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน MORE เมื่อปลายปี 2563 จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 จะอยู่ที่ราคาหุ้นละ 50 สตางค์

ถ้านายอภิมุข รู้จักพอ ชะตากรรมคงไม่ต้องเสี่ยงกับคุกตะราง แต่เพราะไม่รู้จักพอ แม้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีพันล้านแล้วก็ตาม แผนปล้นเงินโบรกเกอร์ 4.5 พันล้านบาทจึงเกิดขึ้น

ส่วนจะมีเสี่ยหุ้นคนไหน ไฮโซคนใดร่วมขบวนการด้วยหรือไม่ จากนี้เป็นหน้าที่ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่จะสืบสวนสอบสวน

ปฏิบัติการปล้น 4.5 พันล้านปิดฉากลงแล้ว โดยแผนที่นายอภิมุข หรือผู้ร่วมขบวนการวางไว้ไม่บรรลุเป้าหมาย กลายเป็นการปล้น “ลม” สั่งซื้อหุ้น “ลม” เวลาขายจึงได้แต่ “ลม”

เพราะคำสั่งขายหุ้น MORE ช่วง ATO จำนวน 1,531.77 ล้านหุ้น ถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง) สั่งระงับในวงเงินที่เกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป

ส่วนคำสั่งซื้อหุ้น MORE เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยนายอภิมุข เบี้ยวการชำระค่าซื้อหุ้น

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า ปฏิบัติการหลอกกินเงินโบรกเกอร์ครั้งนี้ นายอภิมุข คิดการใหญ่เกินไป มองโลกสวยเกินไป คิดว่าจะได้เงินก้อนโตมาง่ายๆ และกล้าเกินเด็กวัย 30 ปีเศษ

เพราะไม่กลัวความผิด ไม่กลัวชะตาชีวิตจะเปลี่ยน ไม่ตระหนักถึงคุกตะรางแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ถ้าปฏิบัติการของนายอภิมุข เกิดขึ้นในวันจันทร์ วางแผนโยนคำสั่งซื้อขายในวันจันทร์ ป่านนี้อาจโกยเงิน 4.5 พันบ้านบาทไปแล้ว เพราะทั้งตลาดหลักทรัพย์ ทั้งโบรกเกอร์อาจตั้งรับสถานการณ์ไม่ทัน

แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้ว และประวัติศาสตร์ไม่มีคำว่า "ถ้า" ที่จะพลิกประวัติศาสตร์ได้

คำสั่งซื้อขายหุ้น MORE เช้าวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน คงจะมีการฟ้องร้องตามมาวุ่นวายหลายสิบคดี ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา มีทั้งนักลงทุนฟ้องโบรกเกอร์ที่ไม่ชำระค่าขายหุ้น และโบรกเกอร์ฟ้องนักลงทุนที่เบี้ยวชำระค่าซื้อหุ้น

แต่ความโกลาหลในตลาดหุ้นจากปฏิบัติการปล้นโบรกเกอร์ครั้งนี้ เชื่อกันว่า สุดท้ายจะต้องมีคนชดใช้กรรม...มีคนต้องติดคุก










กำลังโหลดความคิดเห็น