กลับมาซื้อขายใหม่เพียงไม่กี่วัน หุ้นบริษัท เค.ซี.พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC ติดอยู่ในทำเนียบหุ้นร้อนเสียแล้ว โดยราคาพุ่งทะยานต่อเนื่อง ทั้งที่ถูกแขวนป้าย C และผลประกอบการหลายปีที่ผ่านมาขาดทุน
ตลาดหลักทรัพย์อนุมัติให้ KC กลับมาซื้อขายใหม่ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2561 เนื่องจากไม่ส่งงบการเงินตามเวลาที่กำหนด โดยราคาปิดครั้งสุดท้ายอยู่ที่ 18 สตางค์
การกลับมาซื้อขายใหม่ ตลาดหลักทรัพย์กำหนดเงื่อนไขต้องซื้อหุ้นด้วยเงินสด เพราะบริษัทถูกแขวนเครื่องหมาย C เนื่องจากงบการเงินไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน
เปิดซื้อขายใหม่วันแรก ราคาหุ้นเปิดที่ 47 สตางค์ และถูกลากขึ้นไปสูงสุดที่ 56 สตางค์ ต่ำสุดที่ 36 สตางค์ ก่อนจะปิดที่ 42 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 204.34 ล้านบาท
ส่วนวันที่ 20 พฤษภาคม ซึ่งเป็นการซื้อขายวันที่ 2 ราคาปิดที่ 40 สตางค์ ลดลง 2 สตางค์ มูลค่าซื้อขาย 16.03 ล้านบาท หลังจากนั้นราคาถูกลากขึ้นแรงตลอด 3 วันทำการ จนเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมปิดที่ 63 สตางค์
KC เป็นหุ้นที่มีประวัติโชกโชน โดยอดีต 4 กรรมการและผู้บริหาร พร้อมพวกอีก 3 คน ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร้องทุกข์กล่าวโทษ กรณีทุจริตการออกตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น หรือตั๋ว B/E ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย มีการกล่าวโทษซ้ำในความผิดทุจริตซื้อขายที่ดี
ก่อนถูกตลาดหลักทรัพย์สั่งพักการซื้อขาย และหุ้นเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน ราคาหุ้นดิ่งลงจนเหลือ 18 สตางค์ ทำให้นักลงทุนเสียหายจำนวนมาก
เมื่อต้นปี 2564 KC ประกาศเพิ่มทุน นำหุ้นจำนวน 550 ล้านบาท ขายบุคคลในวงจำกัด ในราคาหุ้นละ 20 สตางค์ แต่ขายได้เพียง 50 ล้านหุ้น ส่วนหุ้นเพิ่มทุนอีกจำนวน 875 ล้านหุ้น ที่เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 10 สตางค์ มีผู้ใช้สิทธิจองซื้อจำนวน 532 ล้านหุ้น
ผลกระกอบการ KC ไม่ดีนัก โดยขาดทุนติดต่อหลายปี โดยปี 2562 ขาดทุนสุทธิ 155.71 ล้านบาท ปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 103.11 ล้านบาท ปี 2564 ขาดทุน 75.68 ล้านบาท ส่วนไตรมาสแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 7.50 ล้านบาท แต่ใน 9 เดือนที่เหลือยังต้องรอดูว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวต่อเนื่องหรือไม่
โครงสร้างผู้ถือหุ้น KC มีนายสันติ ปิยะทัต เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 19.62% ของทุนจดทะเบียน นายจตุพจน์ วิชาญจิตร ถือหุ้นใหญ่อันดับสอง สัดส่วน 10.79% ของทุนจดทะเบียน โดยมีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 2,643 ราย ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 53% ของทุนจดทะเบียน
หุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่ค่อยโดดเด่น ราคาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ และซื้อขายกันในราคาใกล้เคียงกับมูลค่าหุ้นทางบัญชี โดย KC มีมูลค่าหุ้นทางบัญชีอยู่ที่ 11 สตางค์ต่อหุ้น ราคาหุ้นบนกระดานจึงถือว่าสูง เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน
กลับมาซื้อขายเพียงไม่กี่วัน และไม่อาจประเมินถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ชัดเจนได้ แต่หุ้น KC กลายเป็นหุ้นร้อนเสียแล้ว ราคาที่พุ่งทะยานขึ้นมากลายเป็นจุดเสี่ยงของนักเก็งกำไร
ต้องจับตาดูกันไป การกลับมาแจ้งเกิดรอบใหม่ KC จะทำให้นักลงทุนเจ็บซ้ำรอยรอบก่อนหรือไม่