นักลงทุนในตลาดหุ้นทั้งหมดมีสัดส่วนเพียงประมาณ 2% ของประชากรของประเทศ ซึ่งถือว่าน้อยมาก ทั้งที่ตลาดหุ้นสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่าผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
นับ 10 ปีแล้วที่อัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ หรือยิลด์ยืนอยู่ระดับ 3% สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี
ยิลด์เฉลี่ยของตลาดหุ้นเคยพุ่งขึ้นระดับ 10% แต่ก็เคยตกต่ำในปี 2542 โดยยิลด์เฉลี่ยเหลือต่ำกว่าว่า 1% ซึ่งเป็นผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 ทำให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนทรุดฮวบ แต่หลังจากนั้นยิลด์ขยับขึ้น และยืนในระดับ 3% มายาวนาน
ขณะที่อัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีหุ้น บางปีขยับขึ้นกว่า 100% และหลายครั้งที่ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นติดต่อหลายปี เช่นระหว่างปี 2530-2532 ช่วงเวลาเพียง 3 ปี ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้น 324.32 จุด จากจุดปิดสิ้นปี 2529 ที่ระดับ 207.20 จุด ขึ้นมาปิดที่ระดับ 879.19 เมื่อสิ้นปี 2532
ตลาดหุ้นเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุน แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับให้ความสนใจ ย้ายเงินออมมาสู่ตลาดหุ้นน้อยมาก เนื่องจากยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ดีพอ กลัวความเสี่ยง ไม่มั่นใจจะได้รับการคุ้มครองจากการลงทุน
และที่สำคัญ ยังมีทัศนคติในแง่ลบกับตลาดหุ้น มองเป็น บ่อนพนัน มีการเอารัดเอาเปรียบประชาชนผู้ลงทุน มีแก๊งปั่นหุ้น มีขบวนการโกง โดยมีข่าวฉาวโฉ่การลงทุนการใช้ข้อมูลภายใน การปั่นหุ้น การยักยอกทรัพย์สินของบริษัทจดทะเบียน หรือแม้การลงโทษบุคลากรในตลาดหุ้นที่ฉ้อโกงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
แม้ตลาดหลักทรัพย์จะมีนโยบาย ประชาสัมพันธ์การลงทุนในตลาดหุ้น รณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจการลงทุนสู่ประชาชนในวงกว้าง และถึงขั้นดำเนินโครงการสร้างนักลงทุนหน้าใหม่ บุกเข้าสถาบันการศึกษาเพื่อปูพื้นฐานความรู้การลงทุน โดยหวังดึงนักเรียนนักศึกษามาเข้าสู่ตลาดหุ้น
แต่โครงการบุกสถาบันการศึกษา ดึงนักเรียนนักศึกษามาเป็นนักลงทุนก็ต้องล้มพับ พร้อมกับความเสียหายของผู้ปกครอง ซึ่งควักเงินมาให้นักเรียนนักศึกษามาเริ่มต้นลงทุน แต่ส่วนใหญ่ประสบความล้มเหลว ขาดทุนจากหุ้น จนต้องหันหลังให้ตลาดหุ้น และกลับเข้าห้องเรียนตามเดิม
ล่าสุด มีนักลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 1.45 ล้านคน ซึ่งตลาดหลักทรัพย์น่าจะสำรวจว่า นักลงทุนทั้งหมดประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในตลาดหุ้น โดยตรวจสอบข้อมูลแต่ละราย ก่อนนำมาประมวลว่า ส่วนใหญ่กำไรหรือขาดทุน เพื่อให้ประชาชนนำข้อมูลใช้ประกอบการพิจารณาลงทุนในตลาดหุ้น
แม้ว่าข้อมูลที่สำรวจอาจสะท้อนออกมาในเชิงลบ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ขาดทุนหรือได้รับผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับการลงทุนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มองข้ามการลงทุนในตลาดหุ้น น่าจะเกิดจากความเชื่อฝังหัวว่า ตลาดหุ้นยังเต็มไปด้วยแก๊งมิจฉาชีพ กฎหมายยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างเด็ดขาดกับกลุ่มผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ ยังไม่สามารถปราบปรามแก๊งปั่นหุ้น กำราบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่มีพฤติกรรมอินไซด์ ใช้ข้อมูลภายในเอาเปรียบประชาชนผู้ลงทุนทั่วไปได้
ไม่สามารถทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในมาตรการดูแลคุ้มครอง และไม่มั่นใจว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง
45 ปี ของตลาดหุ้น มีนักลงทุนทั้งตลาดเพียง 1.45 ล้านคน ถือเป็นความล้มเหลวในนโยบายขยายฐานนักลงทุนหน้าใหม่ และต้นเหตุสำคัญของความล้มเหลวยังวนอยู่ในปัญหาเดิมๆ คือ
ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติในแง่ลบกับตลาดหุ้น และไม่เชื่อว่าการลงทุนเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม
แม้ว่านักลงทุนมือใหม่ที่แห่มา เปิดบัญชีซื้อขาย 9 เดือนแรกปีนี้จำนวน 5.54 แสนบัญชี สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แทบทั้งหมดจะร่ำรวยจากตลาดหุ้นก็ตาม