ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยข้อมูลนักลงทุนหน้าใหม่ในปีนี้ ตัวเลขน่าตื่นตาตื่นใจ เพราะมีผู้เปิดบัญชีซื้อขายแล้วกว่า 5 แสนบัญชี สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นรอบ 45 ปี
สิ้นสุด 9 เดือนแรกปีนี้ มีนักลงทุนเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นรวมทั้งสิ้น 3.32 ล้านบัญชี โดยมีผู้เปิดบัญชีใหม่รวม 5.54 แสนบัญชี และแทบทั้งหมดเป็นการเปิดบัญชีซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งปกติจะมีนักลงทุนหน้าใหม่เปิดบัญชีเฉลี่ยปีละ 2.3 แสนรายถึง 3.3 แสนรายเท่านั้น
ส่วนสัดส่วนการถือหุ้นนักลงทุนภายในประเทศอยู่ที่ 73% ขณะที่ต่างชาติถือครองหุ้นในสัดส่วน 27%
การที่จำนวนการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำ ทำให้ผู้ที่มีเงินออมต้องหาทางเลือกการลงทุน และมองว่าตลาดหุ้นจะสร้างผลตอบแทนที่ดี
เพราะการลงทุนด้านอื่นมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะทองคำที่มีความผันผวน การลงทุนที่ดินก็ไม่น่าสนใจ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซา
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระตุ้นให้ผู้ที่มีเงินออมสนใจตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะราคาหุ้นทรุดตัวลงมาก จึงเป็นโอกาสที่จะซื้อหุ้นในต้นทุนที่ต่ำ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ นักลงทุนหน้าใหม่เกือบทั้งหมด หรือประมาณ 5.53 แสนราย เปิดบัญชีซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งเสียค่านายหน้าหรือค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่ต่ำกว่าการซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด หรือมาร์เกตติ้ง
โบรกเกอร์หลายรายคิดค่านายหน้าซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ตเพียง 0.05% หรือร้อยละ 5 สตางค์ หรือซื้อขาย 1 ล้านบาท จ่ายค่าธรรมเนียม 500 บาทเท่านั้น
การที่นักลงทุนหน้าใหม่ซื้อขายหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ต สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบัน นักลงทุนไม่ได้ให้ความสำคัญกับมาร์เกตติ้งมากนัก แตกต่างจากอดีตที่ส่วนใหญ่จะสั่งซื้อขายผ่านมาร์เกตติ้ง เพราะต้องการคำแนะนำการลงทุน โดยเฉพาะการชี้แนะหุ้นรายตัว
การซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้มาร์เกตติ้งต้องตกงาน จำนวนมาร์เกตติ้งโบรกเกอร์ต่างๆ ลดฮวบลง บางแห่งเคยมีมาร์เกตติ้ง 200 คน แต่ลดลงมาเหลือระดับ 50-60 คนเท่านั้น
นักลงทุนหน้าใหม่มักจะเข้ามาในช่วงตลาดหุ้นบูมสุดขีด หรือช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก โดยแห่มาเปิดบัญชีจังหวะที่ดัชนีหุ้นพุ่งขึ้นสูง เมื่อหุ้นเกิดความผันผวนจึงเสียหาย
แต่สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ปีนี้ ส่วนใหญ่น่าจะมีกำไรหรือได้รับผลตอบแทนที่ดี เพราะเข้ามาเปิดบัญชีในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวน ช้อนซื้อหุ้นจังหวะที่ราคาหุ้นปรับตัวลง โดยซื้อหุ้นหลังเกิดวิกฤต “โควิด-19” แล้ว
ดัชนีหุ้นปีนี้สูงสุดที่ 1,600 จุด ต่ำสุดที่ 969 จุด ปิดล่าสุดที้ระดับ 1,450 จุด ซึ่งเชื่อว่า นักลงทุนหน้าใหม่จะมีต้นทุนราคาหุ้นต่ำกว่าระดับ 1,450 จุด จึงมีกำไรโดยถ้วนหน้า และคิดถูกที่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้น
พิจารณาตามบัญชีการซื้อขายหุ้นแล้ว ตัวเลขดูดี โดยมีถึง 3.32 ล้านบัญชี แต่ถ้าเทียบกับจำนวนนักลงทุนในตลาดหุ้นทั้งหมด มีเพียง 1.45 ล้านรายเท่านั้น ซึ่งถือว่า น้อยมาก เมื่อเทียบกับประชากรประมาณ 70 ล้านคน
เพราะสัดส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้น มีเพียง 2% ของประชากร หรือคนไทย 100 คน มีนักลงทุนเพียง 2 คนเท่านั้น
อัตราเงินปันผลเฉลี่ยของตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 3% ต่อปี สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำหลายเท่าตัว
แต่ทำไมประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่สนใจลงทุนในตลาดหุ้น และทำให้เสียโอกาสในการแสวงหาผลตอบแทนที่ดี
อ่านต่อวันพรุ่งนี้