"เสนาฯ" ห่วงเศรษฐกิจชะลอตัว อาจกระทบถึงหนี้ครัวเรือน ภาคการท่องเที่ยวต้องรอการฟื้นตัว พร้อมปรับกลยุทธ์ชู 3 ความต่างปั้น 4 แบรนด์ใหม่ “เสนา วิลล์” “เสนา วิลเลจ” “เสนา เวล่า” และ “เสนา วีว่า” รุกตลาดแนวราบ ชิงดีมานด์ตลาดชานเมืองใกล้แหล่งงาน พร้อมเปิดทาวน์โฮมแบรนด์ "เสนา วีว่า พุทธมณฑล-สาย 7" สนนราคา 1.99 ล้านบาท เผยยอดพรีเซลส์ 10 เดือน กวาด 7,000 ลบ. โชว์มีกระแสเงินสดกว่า 1,000 ลบ.
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก คือ เรื่องหนี้ภาคครัวเรือนที่มีมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มเจน Y (กลุ่มประชากรวัยทำงาน) ที่ตามข้อมูลของบริษัท ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ระบุว่า 1 ใน 6 ของกลุ่มคนเจน Y มีความเสี่ยงในเรื่องการเป็นหนี้ค่อนข้างมาก ประกอบกับสถาบันการเงินมีการแข่งขันในเรื่องของบริการด้านสินเชื่อส่วนบุคคล เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต เป็นต้น ซึ่งผู้บริโภคจะมีความสะดวกในการใช้บัตรเครดิตในการจับจ่ายใช้สินค้า
"ยังคงมีความเชื่อว่า เศรษฐกิจในปี 2564 คงไม่ดีเท่ากับปีนี้ ซึ่งต้องมองเรื่องการมีวัคซีนออกมา และการจะให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประเทศไทยในปีที่ผ่านมา มีตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนสูงถึง 40 ล้านคน แต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เข้ามาเพียง 8 ล้านคน นโยบายเปิดประเทศยังเป็นเปิดๆปิดๆ ซึ่งแน่นอน การที่เศรษฐกิจไม่ดีจะก่อให้เกิดแผลในหนี้ครัวเรือนมากขึ้น นักวิเคราะห์มีการประเมินว่า อาจต้องรอถึงปลายปี 2566 ถึง 2567 จะกลับไปดีเท่ากับปี 2562 ซึ่งในปีนี้จะเห็นว่า การเปิดโครงการน้อยลง เป็นผลจากสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป และการระบาดของโควิด-19 ขณะที่ตามข้อมูลจะพบว่า การเปิดโครงการในรูปแบบทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ (YOY)"
บริษัทฯ ได้เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น โดยมีแผนขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากขึ้น จึงได้มีการวางตำแหน่ง 4 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ “เสนา วิลเลจ” “เสนา วิลล์” “เสนา เวล่า” และ “เสนา วีว่า” เน้นทำเลย่านชานเมือง เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้แหล่งงานเพิ่มมากขึ้น จากการขยายตัวของโครงการระบบขนส่งมวลชนรอบทิศทาง ทั้งการขยายเส้นทางถนนและโครงการรถไฟฟ้าที่ทำให้การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองได้ง่ายขึ้น อีกทั้งการขยายตัวของห้างสรรพสินค้า ที่ไม่กระจุกตัวอยู่แต่ในตัวเมืองชั้นในเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ที่อยู่อาศัยในแถบชานเมืองมีความต้องการและขยายตัวมากขึ้น
"การเปิดแบรนด์แนวราบใหม่ไม่ใช่เกิดจากเรื่องโควิด-19 ทั้งหมด แต่เสนาฯ ต้องการเร่งความเร็วให้เยอะขึ้น คาดว่าในปีหน้า โครงการแนวราบจะมีมูลค่าการลงทุน 20-30 เปอร์เซ็นต์ โดยการพัฒนาโปรดักต์จะผ่านแนวคิด Made From Her “ถ้าผู้หญิงอยู่สบาย ผู้ชายก็แฮปปี้” ถูกถ่ายทอดและต่อยอดมาสู่ Made From Her ในปี 2563 ซึ่งถ้าคิดละเอียดกว่า ก็อยู่สบายกว่า เป็นการนำมาเป็นวิธีคิดในการแปรรูปโครงการ และที่สำคัญโปรดักต์ที่ไปวางในแต่ละทำเล อย่างเช่น ทาวน์เฮาส์ ต้องไม่อยู่ในเรดโซน เพราะเราไม่ต้องการลงไปในทะเลเลือด" ผศ.ดร.เกษรา กล่าวและอธิบายถึงการสร้างความแตกต่าง จนกลายเป็นจุดขายของเสนาฯ ว่า
ประกอบด้วย 3 จุดใหญ่ ได้แก่ จุดเด่นที่ 1.SENA 360 แอปพลิเคชัน การบริการพิเศษผ่านแอปพลิเคชันที่ช่วยลูกบ้านจัดการทุกเรื่องของการอยู่อาศัยได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น จุดเด่นที่ 2.SENA Solar ทุกโครงการของเสนาฯ มีการติดตั้งแผงโซลาร์ให้แก่บ้านทุกหลัง และพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดฯ ทุกแห่ง เพื่อช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า จุดเด่นที่ 3.การออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ตามแนวคิด Made From Her ที่คิดละเอียดและใส่ใจครอบคลุมทุกตารางนิ้ว
สำหรับโครงสร้างกลุ่มราคาแนวราบมีการแบ่งย่อยสินค้าให้ตรงกับความต้องการในที่อยู่อาศัย ได้แก่ คือ “เสนา วิลล์” “เสนา วิลเลจ” “เสนา เวล่า” และ “เสนา วีว่า” ระดับราคาตั้งแต่ 1.5-10 ล้านบาท รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำล้าน ส่งผลให้สินค้าของเสนาฯ มีตั้งแต่ระดับ Economyไปจนถึง High Class ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม
ปัจจุบันทางเสนาฯ ได้มีการเปิดตัวแล้ว 2 แบรนด์ใหม่ คือ “เสนา วิลล์ ลำลูกกา-คลอง 6” มูลค่าโครงการ 790 ล้านบาท บนเนื้อที่โครงการ 32 ไร่เศษ เป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ที่มีการติดโซลาร์เป็นครั้งแรก รวมทั้งหมด 202 ยูนิต และล่าสุดเปิด “เสนา วีว่า เพชรเกษม-พุทธมณฑลสาย 7” รวมมูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท พัฒนาเป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 4 เมตร และ 5.7 เมตร จำนวน 210 ยูนิต ราคาช่วงพรีเซลล์วันที่ 14-15 พ.ย.พิเศษ 1.99 ล้านบาท โดยจะมีบ้านพร้อมโอนประมาณ 20 ยูนิต มูลค่าการขายประมาณ 100 ล้านบาท
ในส่วนของแนวโน้มผลการดำเนินงานธุรกิจในปีนี้ คาดจะมีการเปิดโครงการรวมได้ 7 โครงการจากเป้าที่วางไว้ 10 โครงการ ยอดขายช่วง 10 เดือนแรกทำได้ 6,000-7,000 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 9,000 ล้านบาท มียอดขายรอบันทึกเป็นรายได้ (แบ็กล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 3 ประมาณ 12,000 ล้านบาท คาดในไตรมาส 4 จะมีการบันทึกเป็นรายได้ประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท มีสินค้ารอการขายประมาณ 2,000-3,000 ยูนิต ประมาณ 70% เป็นโครงการคอนโดมิเนียม (JV) ซึ่งบริษัทมีกระแสเงินสดที่มากกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะที่ภาระหนี้มีประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นส่วนของตราสารหนี้ วงเงิน 7,000 ล้านบาท เฉลี่ยอายุ 3 ปีครึ่ง อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 4%