โบรกเกอร์ประสานเสียง หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลฟื้นตัวเด่นสุดในกลุ่ม “กรุงเทพดุสิตเวชการ” เชื่อรัฐปลดล็อก ผู้ป่วยต่างชาติหวนกลับมารักษา ขณะที่ผู้ป่วยคนไทยจะกลับมาปกติช่วงไตรมาส 3 แนะนำให้ซื้อ
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย ) หรือ บล.เมย์แบงก์ ให้มุมมองต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนว่า หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพราะปริมาณผู้ป่วยลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคม ผู้ป่วยชาวไทยหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาล ขณะที่ผู้ป่วยต่างชาติถูกห้ามเดินทาง มีมุมมองเป็นบวกเชื่อว่าปริมาณผู้ป่วยน่าจะฟื้นตัวครึ่งปีหลังและราคาหุ้นซื้อขายอยู่ในระดับที่น่าสนใจ แนะนำ ซื้อ BDMS, BCH และ CHG และถือ BH
โดยรายได้ของโรงพยาบาลแข็งแกร่งช่วง ม.ค.-กพ. แต่ลดลงใน มี.ค.รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติลดลง 35-45% เทียบปีก่อน ขณะที่ผู้ป่วยคนไทยลดลง 10% เป็นผลให้กำไรหลักของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ลดลง ขณะการปรับลดต้นทุน opex จำกัด เนื่องจากต้นทุนคงที่คิดเป็น 50-60% ของ opex ทั้งหมด สำหรับโรงพยาบาลขนาดเล็ก รายได้จากผู้ป่วยประกันสังคม SSO (30-35% ของรายรับรวม) แข็งแกร่ง เนื่องจากฐานสมาชิกประกันสังคมใหญ่ขึ้นและอัตราการจ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ 50-60% ของรายได้ SSO เป็นการชำระเงินคงที่ การชะลอตัวของปริมาณผู้ป่วย SSO ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้คงที่ ดังนั้น รายได้และกำไรไตรมาสแรกของโรงพยาบาลขนาดเล็กยังคงเติบโตได้ในระดับเลขหลักเดียว
ดังนั้น คาดว่าโรงพยาบาลน่าจะผ่านจุดต่ำสุดในเดือน เม.ย. โดยปริมาณผู้ป่วยไทยกลับคืนสู่ระดับปกติ 60-70% ของระดับปกติในเดือน พ.ค. คาดว่าปริมาณผู้ป่วยชาวไทยจะกลับมาเป็นปกติปลายไตรมาส 3 นี้ ขณะผู้ป่วยต่างชาติจะค่อยๆ ฟื้นตัว จึงมีมุมมองบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ คาดปริมาณผู้ป่วยและรายได้เพิ่มขึ้นในระยะกลาง-ยาว และเชื่อว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพน่าจะฟื้นตัว
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวถึงมาตรการผ่อนคลายของ ศบค.ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการเข้ามารับบริการทางสุขภาพนั้น เป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนรายได้จากชาวต่างชาติ เช่น BDMS มีรายได้จากชาวต่างชาติ 33% ของรายได้รวม และ BH ซึ่งมีรายได้จากชาวต่างชาติ 66% ของรายได้รวม ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ “ทยอยซื้อสะสม” BDMS ราคาเหมาะสมที่ 23.80 บาท
ทั้งนี้ จากมาตรการผ่อนปรนของ ศบค.ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติกลุ่ม Medical Tourism and Wellness ที่เพิ่มเติม จากเดิมเน้นเฉพาะกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องรักษา ขยายเป็นรวมเปิดให้โรงพยาบาลทำตลาดเพื่อจูงใจชาวต่างชาติผู้ที่อาจจะเริ่มมีปัญหาสุขภาพ ผ่านการขายแพกเกจต่างๆ เชื่อเป็นบวกต่อหุ้นโรงพยาบาล คาดฟื้นตัวกลับมาต่อเนื่อง คาดว่าโรงพยาบาลที่จะได้รับอานิสงส์บวกคือ BH และ BDMS ที่มีฐานลูกค้าต่างชาติกลุ่ม Fly-in ราว 56% และ 15% ของรายได้ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของกลุ่ม Fly-in ที่ยังไม่กลับมาเท่ากับในอดีตทันที จึงประเมิน BDMS ที่มีฐานลูกค้าที่เหลือเป็นกลุ่มคนไทยที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวหลังคลาย Lockdown อีกทั้งการจับมือหลายบริษัทประกันออกแพกเกจรักษาในกลุ่ม รพ. BDMS บนค่าเบี้ยประกันที่ไม่สูงนัก จึงเป็นอีกปัจจัยหนุน ทำให้ภาพรวมประเมิน BDMS น่าจะเป็นโรงพยาบาลที่มีโอกาสฟื้นตัวเร็ว และจะเห็นการฟื้นตัวเด่นชัดปี 2564 มูลค่าพื้นฐานปี 2563 ที่ 23.80 บาท ยังมี Upside เกือบ 10% แนะนำซื้อ
บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยในมุมมองหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนว่า ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลเป็น Bullish จากเดิมอยู่ที่ Neutral เนื่องจากคาดว่ากำไรรวมในครึ่งหลังปีนี้เริ่มฟื้นตัว เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก และจะกลับมาเติบโตสูงในปีหน้า คาดว่าจะโต 17% จากปีนี้ ตามทิศทางรายได้และอัตรากำไรของกลุ่มมีแนวโน้มดีขึ้น มองว่าการเปิดให้ลูกค้าต่างชาติเริ่มเข้ามารักษาในไทย และการเปิดรับลูกค้าต่างชาติกลุ่ม Medical Tourism การเติบโตของเศรษฐกิจและกำลังซื้อ รวมถึงการที่ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการขยายตัวของระบบประกันสุขภาพ นับเป็นปัจจัยที่จะสนับสนุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล แต่คาดว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่อย่าง BDMS และ BH ได้รับผลกระทบจากรายได้จากการให้บริการและค่ารักษาตามความซับซ้อนของโรคลดลง จากมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตาม จากผลดำเนินงานจากธุรกิจปกติครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีกำไรรวมลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่จะเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยบวกที่ให้ฟื้นตัวจากลูกค้าในประเทศกลับมาใช้บริการมากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงหน้าฝนทำให้เกิดโรคระบาดตามฤดูกาล และกลุ่มประกันสังคม คาดรายได้เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ผู้ป่วยต่างชาติบินเข้ามารักษาคาดเริ่มกลับเข้ามาปลายไตรมาส 3/63 มองว่าราคาหุ้นโรงพยาบาลมีโอกาสถูก Re-Rated P/E ขึ้นตามการเติบโตในปี 2564 เลือกหุ้น BDMS เป็นหุ้นเด่น แนะนำซื้อเก็งกำไร ให้ราคาเป้าหมาย 24.90 บาทต่อหุ้น