คอลลิเออร์ส คาดธุรกิจท่องเที่ยวไทยอาจฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังชาวโลกมองไทยรับมือการแพร่ระบาดได้ดี แนะรัฐบาลออกมาตรการหนุนคนไทย-ต่างชาติท่องเที่ยวไทย ต่อลมหายใจโรงแรม ผู้ประกอบการท่องเที่ยว
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงผลวิจัยธุรกิจท่องเที่ยวรวมถึงธุรกิจโรงแรมว่า ถือว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดหนักในประเทศจีนในช่วงที่ผ่านมา และอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจากภาวะซบเซาของภาคธุรกิจท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หดหายจากการวิกฤตการณ์โรคระบาดดังกล่าว ทำให้ความต้องการเข้าใช้ห้องพักโรงแรมในประเทศไทยลดลงเป็นอย่างมาก และยังมีผลกระทบต่อรายได้จากการให้บริการสถานที่สำหรับงานเลี้ยงและงานประชุมต่างๆ เนื่องจากวิกฤตการณ์โรคระบาดดังกล่าวส่งผลให้ผู้ประกอบการเลื่อนการจัดกิจกรรมทุกกิจกรรมในช่วงนี้
ทั้งนี้ แผนกวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์สฯ คาดการณ์ว่าผลกระทบจะรุนแรงมากขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ปี 2563 โดยจะส่งผลให้ยอดจองห้องพักรวมถึงรายได้จากค่าห้องพักในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 หายไปมากกว่า 50% โดยจะส่งผลผลกระทบค่อนข้างมากต่อธุรกิจโรงแรมทั้งโรงแรมขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เนื่องจากผู้ประกอบการจำเป็นต้องแบกรับต้นทุนในการประกอบธุรกิจที่ค่อนข้างสูงในขณะที่ยอดจองห้องพักเป็นศูนย์ในช่วงของการประกาศพระราชกำหนดการบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมควรเน้นบริหารจัดการการลดต้นทุนให้น้อยที่สุดในช่วงนี้ เพื่อที่จะประคับประคองให้ธุรกิจสามารถเดินต่อไปได้ ซึ่งหากผู้ประกอบการรายใดไม่สามารถปรับตัวรับได้ทันท่วงทีอาจจะส่งผลให้ต้องปิดกิจการลง และหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวหลักอย่างจีน เริ่มมีสัญญาณบวก คือ เริ่มมีสายการบินในจีนติดต่อขอบินกลับเข้ามาประเทศไทยในเดือนพฤษภาคมนี้
แนะ รร.วางมาตรการรับมือนักท่องเที่ยวหลังเปิดเมือง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลรวมถึงผู้ประกอบการเองจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการเตรียมพร้อมที่ดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาหลังจากสถานการณ์ต่างดีขึ้น สำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยวเอง จะต้องเร่งปรับตัวโดยให้ความสำคัญต่อสุขอนามัย รวมถึงมาตรการคัดกรองและดูแลด้านสุขภาพของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามา รวมถึงเตรียมความพร้อมเรื่องบุคลากรและการปฏิบัติตัวหลังจากธุรกิจกลับมาเปิดบริการอีกครั้งเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลับมารุนแรงอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในปี 2562 ต่ำกว่าการคาดการณ์ของสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเล็กน้อยที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 40.14 ล้านคน ซึ่งจากตัวเลขพบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยประมาณ 39.80 ล้านคน โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 3.97% เมื่อเปรียบเทียบกับในปีก่อนหน้า และสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 2.02 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากในปีก่อนหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวในปี 2563 คาดว่ายังคงเป็นปีที่ค่อนข้างท้าทายและยากลำบากเป็นอย่างมากสำหรับภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ โดยเฉพาะ สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดหนักในหลายประเทศทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้การท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มการเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไวเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ปัจจัยลบต่างๆ ที่คาดการณ์ว่าจะเข้ามากระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในปี 2563 เช่น การแข็งค่าของเงินบาท ข้อจำกัดเรื่องการรองรับของสนามบินหลักของไทย
คาดปี 63 นักท่องเที่ยวเหลือ 28 ล้านคน
โดยแผนกวิจัยฯ คาดการณ์ว่า ในปี 2563 ประเทศไทยอาจจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ราว 1.40 ล้านล้านบาท ลดลงประมาณ 6 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 30.7% จากในปีก่อนหน้า และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 28 ล้านคนเท่านั้น
จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำแนกรายเดือน ณ เดือน มีนาคม ปี 2563 พบว่า ในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดอย่างหนักทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพียงแค่ประมาณ 819,429 คน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านเหลือเพียง 6,691,574 คนเท่านั้นจาก 10,795,246 ล้านคน ปรับลดลงมากถึงประมาณ 38.01% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสแรกของปี ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 515,327.58 ล้านบาท เฉพาะรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับลดลงถึง 40.39% ซึ่งเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งถือว่าเป็นตลาดหลักของการท่องเที่ยวในประเทศไทย ปรับลดลงมากถึง 94.23% ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพียงแค่ 56,852 คนเท่านั้น
แผนกวิจัยฯ คาดการณ์ว่า ในปี 2563 หากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดหนักในประเทศจีนในช่วงที่ผ่านมา หรือประชากรจากประเทศจีนชะลอเดินทางออกนอกประเทศในปี 2563 นี้ ซึ่งจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุดในปี 2562 ที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านคน สร้างรายได้ 5.5 แสนล้านบาท แผนกวิจัยฯ คาดการณ์ว่า จะส่งผลให้ประเทศไทยอาจจะสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ไปมากกว่า 3 แสนล้านบาท
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ถือว่ายังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่าย ประกอบกับค่าเงินบาทที่ค่อนข้างแข็งค่าที่สุดในภูมิภาคนี้ ทำให้เงินที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเคยแลกมาใช้จ่ายในไทยในมูลค่าเท่าเดิม แต่ในปีนี้จากเงินบาทแข็งค่าส่งผลให้แลกเงินบาทได้ลดลงทันที 10-20% การมาเที่ยวในประเทศไทยจึงแพงขึ้นในสายตาต่างชาติ ขณะที่ภาพรวมการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทยเติบโตราว 1% ซึ่งคนเลือกเที่ยวเมืองรองมากขึ้น และสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3% จากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น ชิมช้อปใช้ และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย
เดือนมีนาคมอัตราเข้าพักเหลือ 20.82%
อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) เฉลี่ยทั่วประเทศในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมาปรับลดมาอยู่ที่ 51.50% จาก 78.62% เท่ากับว่า ปรับลดลง 27.11% จากในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งถือว่าเป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทย และเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคม ปี 2563 ที่ผ่านมาอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) เฉลี่ยทั่วประเทศ ตกลงมาเหลือเพียงแค่ 20.82% ปรับลดลงมากถึง 54.01% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการปิดตัวลงของธุรกิจโรงแรมเป็นจำนวนมากที่ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 เป็นต้นมา
ธุรกิจโรงแรมเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้จำนวนมากให้แก่ประเทศไทย โดยคิดเป็นกว่า 28% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของนักท่องเที่ยว ซึ่งจากรายได้รวมจากการท่องเที่ยวในปีที่ผ่านมากว่า 2.02 ล้านล้านบาท แม้ว่าปัจจัยลบต่างๆ ที่เข้ามากระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวโดยเฉพาะเรื่องของค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% ที่หลายฝ่ายต่างกังวลใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่ในปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าจะต่ำกว่าการคาดการณ์ไว้เพียงเล็กน้อย
สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมทุกระดับในปี 2563 ฝ่ายวิจัยฯ คาดการณ์ว่าจะปรับลดลงจากปี 2562 ที่ผ่านมาประมาณ 40% เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว บวกกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าเป็นอย่างมาก และสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดหนักในหลายประเทศทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมารวมถึงประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยลบที่จะเข้ามากระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นอย่างมากในปีนี้
แต่จากสถานการณ์การควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาที่ค่อนข้างได้รับคำชมจากนานาประเทศทั่วโลกว่า มีการรับมือกับการแพร่ระบาดรวมถึงมีมาตรการดูแลรักษาผู้ที่ติดเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี อาจส่งผลให้หลายประเทศมองว่า ประเทศไทยยังคงเป็นที่ปลอดภัยของพวกเขาและยังคงน่าท่องเที่ยวหากสถานการณ์ดีขึ้น และทราบกันดีว่าในช่วงที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนได้เข้ามาเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของตลาดท่องเที่ยวในประเทศไทย จากการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ค่อนข้างมีมาตรฐานของประเทศไทย อาจเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้นมีความเชื่อมั่น และมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุดลง
แนะรัฐออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว
ส่วนนักท่องเที่ยวในประเทศในช่วงที่ผ่านมาที่ไม่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้หลังจากการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของทางรัฐบาล ส่งผลให้ประชาชนต่างเตรียมแผนท่องเที่ยวไว้เป็นจำนวนมากเพื่อเป็นการผ่อนคลายหลังจากที่ได้แต่กักตัวไว้แค่ที่พักอาศัยหากสถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งในช่วงเวลานั้นรัฐบาลควรออกมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวทั้งตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ออกมาท่องเที่ยวหรือเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ตลาดท่องเที่ยวในประเทศไทยรวมถึงธุรกิจโรงแรมกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี