ศูนย์ข่าวศรีราชา - รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวชลบุรี เชื่อพ้นวิกฤตโควิด-19 ธุรกิจท่องเที่ยว งานบริการเมืองพัทยาเปลี่ยน ส่วนภาคธุรกิจ SMEs มีม้วนเสื่อระนาว เหตุมุมมองนักท่องเที่ยวจะไม่เห็นความสำคัญของการเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์อีกต่อไป แต่จะใช้การเดินทางแบบครอบครัวและกลุ่มเพื่อนแทน เพราะไม่เชื่อใจเรื่องการควบคุมโรคระบาด
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มจากประเทศจีนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่จะทำให้การใช้ชีวิตของประชาชนในหลายประเทศทั่วโลกต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตบนความสะดวกสบาย เน้นการเดินทางท่องเที่ยวที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ตนเองและครอบครัว รวมทั้งการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการทั่วโลกที่เคยมุ่งหวังแต่การขยายลงทุนเพื่อสร้างผลกำไร จนลืมวางแผนรับมือวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ผลที่ตามมาคือ การล่มสลายของภาคธุรกิจต่างๆ และผู้คนจำนวนมากที่ต้องตกงาน วันนี้ประชาชนและภาคธุรกิจจำนวนมากเริ่มมองหาแนวทางการอยู่รอดหลังพ้นวิกฤตดังกล่าว
เช่นเดียวกับ นายธเนศ ศุภรสหัสรังสี ผู้บริหารโรงแรมในเครือซันชายน์กรุ๊ป รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี ที่ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก ว่า คือบทเรียนสำคัญที่ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนจะต้องปรับตัวและมีความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่เพียงแต่ทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ได้รับผลกระทบอย่างหนักเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงภาคธุรกิจอื่นๆ จนทำให้มีผู้คนตกงานจำนวนมาก
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เมืองพัทยา เริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลกตั้งแต่ปี 2510 จนถึงปัจจุบันกว่า 50 ปี ไม่เคยมีสถานการณ์ที่ทำให้เกิดผลกระทบขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน และเชื่อว่าในอนาคตผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวทั้งในไทยและทั่วโลกก็อาจจะต้องเผชิญต่อสถานการณ์ในลักษณะนี้อีก
และแม้หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะยุติลง ก็เชื่อว่า เมืองพัทยา จะยังไม่สามารถกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีกและอาจต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปี สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวและการดำเนินธุรกิจจึงจะกลับมาฟื้นตัวได้
“เพราะแม้สุดท้ายแล้วคณะกรรมการป้องกันโรคติดต่อ จ.ชลบุรี หรือแม้แต่เมืองพัทยา จะประกาศคลายล็อกพื้นที่แต่ก็เชื่อว่าจะยังคงไม่มีนักท่องเที่ยวกลับ และรูปแบบการท่องเที่ยวนับจากนี้ก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในลักษณะกรุ๊ปทัวร์ ก็จะเปลี่ยนเป็นแบบครอบครัว หรือ FIT และกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่จะนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวกันเอง และจะไม่นิยมการท่องเที่ยวในภาคกลางคืนอีกต่อไป”
ที่สำคัญในวันนี้แม้เมืองพัทยา จะประกาศยกเลิกมาตรการ Lock Down และเปิดให้มีการท่องเที่ยวเช่นเดิม ก็คาดว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่จะยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ เพราะนักท่องเที่ยวจะมีปัญหาในเรื่องการเงินจากผลกระทบของการหยุดงานเป็นเวลานาน จนมองว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต
รวมทั้งการขาดความเชื่อมั่นในเรื่องของการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ว่าทำได้จริงหรือไม่ หรือเรียกได้ว่าแม้จะเปิดทำการแต่ก็คงไม่มี Demand ที่จะมีรองรับเพื่อให้การดำเนินกิจการเดินหน้าต่อไปได้ และในกรณีนี้ก็คาดว่า ผู้ประกอบการในกลุ่ม SMEs ก็อาจต้องปิดกิจการจากการไม่สามารถแบกรับภาระที่เกิดขึ้นได้ ทั้งในเรื่องเงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ และอื่นๆ
“สำหรับเมืองพัทยา การ Lock Down พื้นที่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องดี แต่ในวันนี้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เกิดความเหนื่อยล้าจนอาจทำให้การคัดกรองไม่เข้มข้นเหมือนก่อน ขณะที่ภาคแรงงานซึ่งยังไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ และหน่วยงานท้องถิ่นต้องใช้ชีวิตกันอย่างลำบากมากขึ้นเพื่อให้ผ่านวิกฤตช่วงนี้ไปให้ได้”
นายธเนศ ยังเผยอีกว่า แม้สุดท้ายภาครัฐจะมีมาตรการผ่อนปรนสำหรับธุรกิจบางประเภทให้สามารถเปิดดำเนินการได้หลังวันที่ 4 พ.ค.นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านตัดผม สปา หรืออื่นๆ แต่รัฐและผู้ประกอบการก็คงต้องมีมาตรการเชิงรุกในการป้องกันไม่ให้โรคกลับมาแพร่ระบาดอีก ทั้งในเรื่องของการตั้งจุดคัดกรอง การตรวจวัดอุณหภูมิ การจัดสถานที่เปิดเพื่อให้เกิดการระบาย การลดพื้นที่บริการเพื่อแก้ปัญหาความแออัด โดยเฉพาะเรื่อง Social Distancing
ขณะที่สถานประกอบการอย่างโรงแรม สถานบันเทิง หรือแหล่งท่องเที่ยว ก็คงต้องรอเวลาไปก่อนเพราะเป็นสถานที่เหล่านี้ถือเป็นแหล่งชุมนุมของคนหมู่มาก ที่เสี่ยงต่อการแออัดและการสัมผัสกัน เพราะปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาที่จะฆ่าเชื้อไวรัสดังกล่าวได้
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มจากประเทศจีนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่จะทำให้การใช้ชีวิตของประชาชนในหลายประเทศทั่วโลกต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เคยใช้ชีวิตบนความสะดวกสบาย เน้นการเดินทางท่องเที่ยวที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ตนเองและครอบครัว รวมทั้งการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการทั่วโลกที่เคยมุ่งหวังแต่การขยายลงทุนเพื่อสร้างผลกำไร จนลืมวางแผนรับมือวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ผลที่ตามมาคือ การล่มสลายของภาคธุรกิจต่างๆ และผู้คนจำนวนมากที่ต้องตกงาน วันนี้ประชาชนและภาคธุรกิจจำนวนมากเริ่มมองหาแนวทางการอยู่รอดหลังพ้นวิกฤตดังกล่าว
เช่นเดียวกับ นายธเนศ ศุภรสหัสรังสี ผู้บริหารโรงแรมในเครือซันชายน์กรุ๊ป รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดชลบุรี ที่ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก ว่า คือบทเรียนสำคัญที่ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนจะต้องปรับตัวและมีความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่เพียงแต่ทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ได้รับผลกระทบอย่างหนักเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงภาคธุรกิจอื่นๆ จนทำให้มีผู้คนตกงานจำนวนมาก
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เมืองพัทยา เริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลกตั้งแต่ปี 2510 จนถึงปัจจุบันกว่า 50 ปี ไม่เคยมีสถานการณ์ที่ทำให้เกิดผลกระทบขนาดใหญ่เช่นนี้มาก่อน และเชื่อว่าในอนาคตผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวทั้งในไทยและทั่วโลกก็อาจจะต้องเผชิญต่อสถานการณ์ในลักษณะนี้อีก
และแม้หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะยุติลง ก็เชื่อว่า เมืองพัทยา จะยังไม่สามารถกลับมาเป็นเช่นเดิมได้อีกและอาจต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปี สถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวและการดำเนินธุรกิจจึงจะกลับมาฟื้นตัวได้
“เพราะแม้สุดท้ายแล้วคณะกรรมการป้องกันโรคติดต่อ จ.ชลบุรี หรือแม้แต่เมืองพัทยา จะประกาศคลายล็อกพื้นที่แต่ก็เชื่อว่าจะยังคงไม่มีนักท่องเที่ยวกลับ และรูปแบบการท่องเที่ยวนับจากนี้ก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในลักษณะกรุ๊ปทัวร์ ก็จะเปลี่ยนเป็นแบบครอบครัว หรือ FIT และกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่จะนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวกันเอง และจะไม่นิยมการท่องเที่ยวในภาคกลางคืนอีกต่อไป”
ที่สำคัญในวันนี้แม้เมืองพัทยา จะประกาศยกเลิกมาตรการ Lock Down และเปิดให้มีการท่องเที่ยวเช่นเดิม ก็คาดว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่จะยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ เพราะนักท่องเที่ยวจะมีปัญหาในเรื่องการเงินจากผลกระทบของการหยุดงานเป็นเวลานาน จนมองว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต
รวมทั้งการขาดความเชื่อมั่นในเรื่องของการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ว่าทำได้จริงหรือไม่ หรือเรียกได้ว่าแม้จะเปิดทำการแต่ก็คงไม่มี Demand ที่จะมีรองรับเพื่อให้การดำเนินกิจการเดินหน้าต่อไปได้ และในกรณีนี้ก็คาดว่า ผู้ประกอบการในกลุ่ม SMEs ก็อาจต้องปิดกิจการจากการไม่สามารถแบกรับภาระที่เกิดขึ้นได้ ทั้งในเรื่องเงินเดือนพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ และอื่นๆ
“สำหรับเมืองพัทยา การ Lock Down พื้นที่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องดี แต่ในวันนี้เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เกิดความเหนื่อยล้าจนอาจทำให้การคัดกรองไม่เข้มข้นเหมือนก่อน ขณะที่ภาคแรงงานซึ่งยังไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ และหน่วยงานท้องถิ่นต้องใช้ชีวิตกันอย่างลำบากมากขึ้นเพื่อให้ผ่านวิกฤตช่วงนี้ไปให้ได้”
นายธเนศ ยังเผยอีกว่า แม้สุดท้ายภาครัฐจะมีมาตรการผ่อนปรนสำหรับธุรกิจบางประเภทให้สามารถเปิดดำเนินการได้หลังวันที่ 4 พ.ค.นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านตัดผม สปา หรืออื่นๆ แต่รัฐและผู้ประกอบการก็คงต้องมีมาตรการเชิงรุกในการป้องกันไม่ให้โรคกลับมาแพร่ระบาดอีก ทั้งในเรื่องของการตั้งจุดคัดกรอง การตรวจวัดอุณหภูมิ การจัดสถานที่เปิดเพื่อให้เกิดการระบาย การลดพื้นที่บริการเพื่อแก้ปัญหาความแออัด โดยเฉพาะเรื่อง Social Distancing
ขณะที่สถานประกอบการอย่างโรงแรม สถานบันเทิง หรือแหล่งท่องเที่ยว ก็คงต้องรอเวลาไปก่อนเพราะเป็นสถานที่เหล่านี้ถือเป็นแหล่งชุมนุมของคนหมู่มาก ที่เสี่ยงต่อการแออัดและการสัมผัสกัน เพราะปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยาที่จะฆ่าเชื้อไวรัสดังกล่าวได้