นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า การแพร่ระบาดของไวรัส "โควิด-19" ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่ม อุตสาหกรรมการบินทั้งในไทยและทั่วโลก แม้การประกาศหยุดบินชั่วคราวจะสามารถลดค่าใช้จ่ายผันแปร ซึ่งมีสัดส่วน 70% ของค่าใช้จ่าย แต่ทุกบริษัทยังคงมีภาระค่าใช้จ่ายคงที่ 30% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ทั้งนี้ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงติดตามกรณีที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อาจอนุญาตให้หุ้นกลุ่มสายการบินยังไม่ต้องตั้งด้อยค่าตามมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ (TFRS9) ซึ่งจะเป็น "ข่าวดี" กับผู้ประกอบการทั้ง AAV, THAI, NOK และ BA
โดยในแง่การดำเนินงานยังได้รับผลลบจาก โควิด-19 และพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่จำกัดการเดินทางจึงแนะนำ "ขายทำกำไร" THAI, NOK, BA, และ "ถือ" AAV ราคาเหมาะสม 1.20 บาท (อิงจาก P/BV ที่ 0.3x เท่ากับ -3.0 S.D.) เนื่องจากประเมินว่า AAV จะไม่ประสบปัญหาทางการเงิน เนื่องจากสถานะทางการเงินยังเป็นบวกอยู่ที่ 198 ล้านบาท (สภาพคล่องรวม 5.3 พันล้านบาท ขณะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอยู่ที่ 683 ล้านบาท และภาระหนี้ระยะสั้นอยู่ที่ 4.4 พันล้านบาท)
นายดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2563 ของหุ้นกลุ่มการบิน ประกอบด้วย บมจ.การบินไทย (THAI) ,บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) และ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) ขาดทุนรวม 1.51 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้เพราะได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวปรับตัวลดลง 40-50 % เพราะการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 หลังจีนออกมาตรการสั่งผู้ประกอบการกรุ๊ปทัวร์หยุดดำเนินการตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา และสายการบินเริ่มทยอยลดเที่ยวบิน
สำหรับ ผลการดำเนินงานกลุ่มสายการบินจะได้รับผลกระทบหนักช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ เพราะสายการบินต่างๆ ทยอยหยุดบินชั่วคราวตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 100% คาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวครึ่งปีหลัง ทำให้คาดว่าทั้งปี 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 15 ล้านคน ลดลง 62% จากปีก่อน ต่ำสุดในรอบ 11 ปี
ดังนั้น บริษัทจึงคาดว่ากลุ่มสายการบินปี 2563 จะมีผลขาดทุนรวม 66,663 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนรวม 12,166 ล้านบาท ประกอบด้วย THAI ขาดทุน 59,162 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 12,042 ล้านบาท เพราะคาดผู้โดยสารลดลง 58% ขณะ BA คาดขาดทุน 3,032 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 351 ล้านบาท เพราะประเมินผู้โดยสารลดลง 43%
และ AAV ขาดทุน 4,469 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 474 ล้านบาท ซึ่งประเมินผู้โดยสารลดลง 48% ซึ่งบริษัทประเมินว่า AAV และ BA ได้รับผลกระทบโควิด-19 น้อยกว่า เนื่องจาก มีสัดส่วนเส้นทางบินระหว่างประเทศน้อยกว่าเพียง 40% และ 30% ขณะที่ THAI มีสัดส่วนเส้นทางการบินต่างประเทศ90% และบริษัทคาดว่า BA จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า AAV เนื่องจากจำนวนเครื่องบินในฝูงบินน้อยกว่า
อย่างไรก็ตามหากนักท่องเที่ยวปีนี้ลดลง 77% จากปีก่อน อยู่ที่ 9 ล้านคน และผู้ประกอบการสายการบินยกเลิกเส้นทางบินระหว่างประเทศไปถึงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ คาดกลุ่มสายการบินจะมีผลขาดทุน 87,390 ล้านบาท แบ่งเป็น AAV ขาดทุน 6,442 ล้านบาท BA ขาดทุน 4,563 ล้านบาทและ THAI ขาดทุน 72,073 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าปี 2563 มูลค่าธุรกิจสายการบินจะยังหดตัวลงอีก 4.3%-6.2% เหลือเพียง 2.94-3.00 แสนล้านบาท และค่าเฉลี่ยของอัตราบรรทุกผู้โดยสารจะลดลงเหลือ 72.0%-73.4% ซึ่งโดยปกติ สายการบินในไทยมีอัตราบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ย 80% นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะทำให้ธุรกิจสายการบินสูญเสียมูลค่าตลาดประมาณ 8,000-11,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตัวเลขคาดการณ์มูลค่าธุรกิจสายการบินนี้ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจะมีระยะเวลาเพียงไตรมาสแรกของปีนี้ หากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสยาวนานมากกว่านี้ ก็อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อมูลค่าธุรกิจสายการบินในไทยมากกว่าที่ประมาณการไว้ ซึ่งทางศูนย์วิจัยฯจะเฝ้าติดตามและอัพเดตสถานการณ์เป็นระยะๆ
อย่างไรก็ดี จากนี้ไปธุรกิจสายการบินจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับแนวโน้มการแข่งขันด้านราคาในอุตสาหกรรมนี้ และหากการเข้ามาในตลาดของสายการบินราคาประหยัดเป็นจุดกำเนิดของการแข่งขันด้านราคา ตัวกำหนดทิศทางการแข่งขันภายในธุรกิจสายการบินจึงต้องขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์การแข่งขันของสายการบินราคาประหยัดเหล่านี้ ว่าจะยังมุ่งเน้นการแข่งขันด้านราคา หรือมุ่งเน้นความแตกต่างด้านการให้บริการ
ศูนย์วิจัยฯ มองว่า เมื่อการแข่งขันด้านราคามีแนวโน้มลดความรุนแรงลง ปัญหาต่อมาของธุรกิจสายการบินก็ยังอยู่ที่ดีมานด์การเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยคาดหลังวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดีมานด์การเดินทางด้วยเที่ยวบินระหว่างประเทศจะกลับมาขยายตัวได้ภายในปี 2564
