กกร.เตรียมหารือ 8 เม.ย.นี้จ่อหั่นเป้าจีดีพี-ส่งออกรอบที่ 4 หลังสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกไร้วี่แววจะจบเร็ว เช่นเดียวกับไทยที่ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งต่อเนื่อง ทำให้ ธปท.หั่นจีดีพีปีนี้ -5.3% จับตาอุตฯ ยานยนต์ 5 ค่ายใหญ่เริ่มหยุดไลน์ผลิตชั่วคราวรับยอดขายหดและลดการแพร่เชื้อ จ่อกระทบต่อเนื่องชิ้นส่วนฯ และอุตฯ อื่นๆ ทยอยตามมาต่อเนื่อง
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) วันที่ 8 เม.ย.นี้มีแนวโน้มว่าจะมีการพิจารณาปรับตัวเลขประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) และการส่งออกปี 2563 ลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน จากการประชุมเดือนที่ผ่านมาได้ลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)เหลือ 1.5-2% คงส่งออก -2 ถึง 0% ทั้งนี้เนื่องจากการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทั่วโลกยังคงมีผู้ติดเชื้อโดยรวมที่เพิ่มขึ้นซึ่งรวมถึงประเทศไทย
“ต้องยอมรับว่าขณะนี้เอกชนกังวลว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นอาจไม่จบโดยเร็วนัก และล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 63 ติดลบ 5.3% โดยส่วนตัวเองมองว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 น่าจะลากยาวถึงสิ้นปีซึ่งอาจทำให้จีดีพีของไทยต่ำกว่าลบ 5.3% และส่งออกมีโอกาสติดลบ 8.5-10% แต่ กกร.จะมีการปรับลดจีดีพีและส่งออกอย่างไรนั้นคงจะต้องหารือในที่ประชุมอีกครั้ง” นายเกรียงไกรกล่าว
ทั้งนี้ จากการลุกลามของโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อขยายตัวไปหลายประเทศทั่วโลกส่งผลให้เศรษฐกิจโลกปี 2563 จะชะลอตัวลงค่อนข้างมากแม้จีนเองจะเริ่มดีขึ้นและหันกลับมาเริ่มผลิตได้ 70% ของภาคการผลิตรวม แต่ด้วยทั้งสหรัฐฯ ยุโรป เศรษฐกิจยังคงลำบากย่อมส่งผลกำลังซื้อของโลกให้ลดลง จึงทำให้ล่าสุดนั้นกระทบต่ออุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างชัดเจนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ค่ายใหญ่ๆ มีการหยุดการผลิตชั่วคราวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงไทยที่ล่าสุดมีค่ายรถ 5 ค่ายใหญ่ ทั้งโตโยต้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ ฟอร์ด มาสด้า ปิดไลน์ผลิตชั่วคราวช่วง มี.ค.-เม.ย.นี้ และคาดว่าจะส่งผลให้คลัสเตอร์ยานยนต์ภาพรวมทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ แบตเตอรี่ ฯลฯ มีการหยุดการผลิตชั่วคราวตามมา
“ค่ายรถได้อาศัยช่วงเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และนโยบาย Work From Home หยุดไลน์ผลิต ก็มีทั้งหยุดบางส่วนและหยุดทั้งหมดขึ้นอยู่แต่ละบริษัทและมีการจ่ายเงินเดือนพนักงาน 85-100% ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะปรับให้สมดุลกับความต้องการรถที่ลดลงไปด้วยเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการบินที่หยุดบินกันจำนวนมากทั่วโลก และเชื่อว่าหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อหลายๆ อุตสาหกรรมจะตามมา” นายเกรียงไกรกล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สมาชิก ส.อ.ท.ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยให้ความสำคัญต่อ 2 แผนสำคัญได้แก่ 1. แผนสำรองทางธุรกิจ หรือ BCP เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉิน โดยให้ทุกภาคอุตสาหกรรมเตรียมไว้รองรับเพื่อไม่ให้กระทบต่อธุรกิจทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะการคุมเข้มการคัดกรองพนักงานเข้าโรงงานเพื่อให้กระบวนการผลิตนั้นไม่ได้รับผลกระทบ เพราะหากพนักงานติดเชื้อเพียง 1 คนจะทำให้กระบวนการผลิตต้องหยุดได้เพราะจะต้องกักกันพนักงานทั้งหมด 14 วัน 2. การเตรียมแผนรองรับกรณีที่อาจจะมีการปิดเมืองหรือล็อกดาวน์เช่น จ.ภูเก็ตในพื้นที่อื่นๆ ตามมา เช่น กทม. ซึ่งจะต้องวางแผนการบริหารจัดการเรื่องขนส่งและการกระจายสินค้าอย่างทันท่วงที และมาตรการที่จำเป็นต้องเตรียมไว้เสนอรัฐบาลต่อไป
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.กล่าวว่า กลุ่มยานยนต์ได้ปรับลดเป้าการผลิตรถยนต์ทั้งปี 2563 ลงจากเป้าเดิม 2 ล้านคัน เหลือลงแค่ 1.9 ล้านคัน มีผลทำให้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมหายไปกว่าแสนล้านบาท ซึ่งการหยุดไลน์ผลิตของ 5 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ก็เพื่อให้สอดรับกับสภาพตลาดและลดการแพร่กระจายไวรัสโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล โดยคาดว่าตัวเลขการผลิตที่ลดลงช่วงนี้น่าจะเป็นหลักหลายหมื่นคัน
