ผู้ถือหุ้น บริษัท พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PE คงเตรียมก้มหน้ารับชะตากรรมจากการลงทุนบริษัทจดทะเบียนแห่งนี้แล้ว เพราะข่าวร้ายกระหน่ำไม่หยุด และ เข้าข่ายถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ในหลายกรณี
เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์สั่งให้ PE เร่งแต่งตั้งกรรมการตรวจสอบให้ครบถ้วน ตามเกณฑ์การเป็นบริษัทจดทะเบียน หลังจากกรรมการตรวจสอบ 3 คนลาออก และเหลือกรรมการเพียง 4 คน จนตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย NP ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562
หากไม่สามารถแต่งตั้งกรรมการให้ครบถ้วนได้ ตลาดหลักทรัพย์จะขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายหุ้นตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ และหากขึ้นเครื่องหมาย SP ครบ 3 เดือนแล้ว บริษัทฯ ยังไม่สามารถตั้งกรรมการอิสระให้ครบได้ จะประกาศให้เป็นบริษัทที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน
ก่อนหน้านี้ หุ้น PE ถูกแขวนเครื่องหมาย “C” เนื่องจากส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว และหุ้นต้องซื้อขายด้วยบัญชี แคช บาลานซ์ หรือซื้อด้วยเงินสด นอกจากนั้น งบการเงินปี 2560 และ 2561 ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็น ซึ่ง หากงบการเงินปี 2562 ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นอีก ถือว่าผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน 3 ปีติดต่อ
ตลาดหลักทรัพย์จะประกาศให้ PE เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน
การที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินปี 2560 และ 2561 นั้น PE ระบุว่า เกิดจากความไม่แน่นอนในความสามารถของบริษัทฯ ที่จะดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง จากผลของคดีแพ่ง ซึ่งบริษัทฯ ต้องชำระค่าเสียหายประมาณ 1,100 ล้านบาท ให้บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) ในฐานะโจทก์ ซึ่งอยู่ระหว่างรอคำสั่งหรือคำตัดสินของศาลฎีกา
ส่วนหุ้น บริษัท พรีเมียร์ อินเตอร์ ลิสซิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูก ได้ถูกยึดและอยู่ระหว่างการขายทอดตลาด เพื่อนำเงินชำระหนี้กรมสรรพากร
สำหรับกรณีการแต่งตั้งกรรมการอิสระให้ครบถ้วน น่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนเมษายนนี้
PE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2534 โดยนำหุ้นเสนอขายนักลงทุนทั่วไปในราคา 160 บาท จากพาร์ 10 บาท ปัจจุบันลดพาร์เหลือ 50 สตางค์ มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 2,659 ราย ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 1 คือ บริษัท พรีเมียร์ ฟิชชั่น แคปปิตอล จำกัด โดยถือในสัดส่วน 24.96% ของทุนจดทะเบียน และนายทวีฉัตร จุฬางกูร ถือหุ้นในสัดส่วน 24.50%
ผลประกอบการของ PE ไม่แน่นอน ก่อนหน้าขาดทุนติดต่อหลายปี แต่ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 40.66 ล้านบาท งวด 9 เดือนแรกปี 2562 มีกำไรสุทธิ 16.51 ล้านบาท แต่มียอดขาดทุนสะสมสุทธิ 279.56 ล้านบาท
ถ้าพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานโดยผิวเผิน หุ้น PE ถือว่าน่าสนใจ เพราะมีค่า พี/อี เรโช เพียง 1.63 เท่า แต่เพราะผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน และมีข่าวเชิงลบมากมาย โดยเฉพาะการชำระหนี้ให้ บริษัทเนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR จำนวน 1,100 ล้านบาท จนส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ นักลงทุนจึงเมินหุ้นตัวนี้
ราคาหุ้น PE เมื่อวันที่ 14 มกราคม ปิดที่ 6 สตางค์ และแทบไม่มีวอลุ่มการซื้อขาย
อนาคตของ PE อยู่นอกเหนือความคาดหมาย และแม้ยังไม่ถูกเพิกถอนจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน แต่ก็ไม่แตกต่างจากบริษัทจดทะเบียนที่มีสภาพตายซาก
ไม่เฉพาะนักลงทุนรายย่อยจำนวนกว่า 2.6 พันรายเท่านั้นที่ “ติดกับ” แม้แต่กลุ่ม “ทวีฉัตร จุฬางกูร” ก็ต้องเจ็บหนักกับ PE
กลุ่มจุฬางกูร ดูเหมือนว่า จะอับโชคกับตลาดหุ้น เข้าลงทุนหุ้นตัวไหนเสียหายยับเยินตลอด