ปลายเดือนกันยายนปีนี้ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เพิ่งเรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน ระดมเงินไปหยกๆ 232 ล้านบาท ผ่านไปประมาณ 3 เดือน คณะกรรมการบริษัทฯ ประกาศเพิ่มทุนอีกระลอก ระดมเงินประมาณ 290 ล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยจะเติมเงินไหวหรือไม่
คณะกรรมการ NEX แถลงผลการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีมตินำหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 116 ล้านหุ้น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 2.50 บาท (พาร์ 1 บาท) โดยจะจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญหรือวอร์แรนต์ รุ่นที่ 2 อายุ 3 ปี ราคาแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ 1 บาท ในสัดส่วน 2.5 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์
การเพิ่มทุนครั้งก่อน ซึ่งเรียกชำระเมื่อปลายเดือนกันยายนนั้น ได้จัดสรรหุ้นใหม่ในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเพียง 1 บาท ซึ่ง ผู้ถือหุ้นใช้สิทธิจองซื้อเกือบทั้งหมด
แต่การเพิ่มทุนครั้งล่าสุด กำหนดราคาเสนอขายหุ้นใหม่ไว้สูง คือ หุ้นละ 2.50 บาท โดยมีวอร์แรนต์เป็นของแถม
ราคาหุ้น NEX ในรอบ 12 เดือน เคยขึ้นสูงสุดที่ 3.44 บาท ต่ำสุดที่ 1.80 บาท ราคาหุ้นใหม่ที่เสนอจึงมีความเสี่ยง เพราะแม้ว่าราคาซื้อขายในกระดานล่าสุดจะยืนอยู่ที่ 3.10 บาทก็ตาม
แต่ หลังชำระค่าหุ้นในกลางเดือนมีนาคมปีหน้าแล้ว ราคาหุ้นในกระดานอาจลงมาต่ำกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนได้
และปัจจัยพื้นฐาน NEX ก็ไม่มีความโดดเด่น ไม่มีค่า พี/อี เรโช ให้คำนวณความเหมาะสมของราคาหุ้น และไม่จ่ายเงินปันผลมายาวนาน
ส่วนผลประกอบการย่ำแย่ ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปี โดยปี 2559 ขาดทุน 17.21 ล้านบาท ปี 2560 กำไรสุทธิ 9.57 ล้านบาท ปี 2561 ขาดทุน 55.76 ล้านบาท และงวด 9 เดือนแรกปีนี้ ขาดทุน 59.80 ล้านบาท
NEX ดำเนินธุรกิจผลิตและรับจ้างผลิตชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ขนาดเล็กที่ทำจากโลหะหรือพลาสติก มีความเที่ยงตรงสูงตามคำสั่งของลูกค้า โดยเป็นหุ้นขนาดเล็ก แต่จะมีการจุดพลุเก็งกำไรเป็นช่วงๆ และแม้ผลประกอบการจะย่ำแย่ แต่หุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงในบางช่วงเวลา และวอลุ่มการซื้อขายหนาตา
โครงสร้างผู้ถือหุ้น NEX ประกอบด้วยผู้ถือหุ้นรายย่อย จำนวน 1,035 ราย ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 72.19% ของทุนจดทะเบียน โดย น.ส.กิตติยา อุทกโยธะ ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ในสัดส่วน 12.04% และนายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในสัดส่วน 10.43%
กลุ่มเป้าหมายของการเพิ่มทุนของ NEX ครั้งนี้ จึงอยู่ที่ผู้ถือหุ้นรายย่อย เพราะถ้าผู้ถือหุ้นรายย่อยพร้อมใจใช้สิทธิจองซื้อ เหมือนการเรียกชำระหุ้นเพิ่มทุนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการบริษัทอาจระดมทุนได้ตามเป้าหมาย ได้เงินประมาณ 290 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อทรัพย์สินตามแผนที่วางไว้
แต่นักลงทุนรายย่อยจะสู้หรือไม่ เพราะราคาหุ้นเพิ่มทุนที่นำมาขายค่อนข้างสูง แม้เมื่อเทียบกับราคาบนกระดานล่าสุด ราคาหุ้นเพิ่มทุนจะต่ำกว่าประมาณ 20% แต่เนื่องจากผลประกอบการบริษัทขาดทุนต่อเนื่อง และงวด 9 เดือนแรกปีนี้ขาดทุนเพิ่มขึ้น
หุ้นบนกระดานจึงมีโอกาสปรับฐานลง และอาจปรับฐานลงต่ำกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุน
การจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนจึงมีความเสี่ยง และแม้จะมีการแจกวอร์แรนต์เป็นตัวกระตุ้นราคาหุ้นบนกระดาน แต่ระยะหลัง วอร์แรนต์ก็ไม่เป็นที่นิยมของนักลงทุน
และนักลงทุนที่หวังได้วอร์แรนต์ฟรี เจ็บตัวกับหุ้นที่แจกวอร์แรนต์จนเข็ดกันหมดแล้ว
ช่วงปลายปีบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งชิงประกาศเพิ่มทุนและออกหุ้นกู้ สูบเงินเก็บตุนไว้รับมือกับภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความไม่แน่นอนในปีหน้า
และไม่ว่าจะเป็นหุ้นเพิ่มทุนหรือหุ้นกู้ นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า ควรเสี่ยงใส่เงินลงไปหรือไม่
