เราคงไม่เคยคาดฝันว่า ประเทศไทยจะมีการลงทุนระบบขนส่งมวลชนทางรางที่มากที่สุดอีกประเทศหนึ่งในโลก ซึ่งแน่นอน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับเมืองในอนาคต เมื่อการเดินทางด้วยระบบรางจะมาเติมเต็มการใช้ชีวิตของประชาชนในเรื่องของการสัญจรที่รวดเร็ว และเป็นอีกระบบการขนส่งขนาดใหญ่ที่มีความปลอดสูง ซึ่งจากข้อมูล INRIX Global Traffic Scorecard ระบุว่า ในปี 2561 กรุงเทพฯ ติดอันดับ 8 ของโลกรถติดมากที่สุด เกิดการสูญเสียเวลาที่ต้องอยู่บนท้องถนนถึง 64 ชั่วโมงต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สะท้อนให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ
รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนและพัฒนาโครงข่ายระบบรางอย่างเต็มที่ ซึ่งในข้อมูลของกรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ระบุว่า แผนแม่บทในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล M-MAP+เพิ่มเติม : 2553-2572 มี 14 เส้นทาง รวม 557.56 กิโลเมตร (กม.) กำหนดในปี 2562 จะเปิดให้บริการระยะทางรวม 141.8 กม. และในปี 2563 เปิดให้บริการระยะทางรวม 170.38 กม. ได้แก่ สายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-ท่าพระ สายสีเขียว ช่วง ม.เกษตรฯ-คูคต และสายสีทอง ช่วงกรุงธนบุรี-คลองสาน และในปี 2564 จะมีการเปิดให้บริการรวม 282.24 กม.
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่ 23 ธ.ค.นี้ คนฝั่งธนบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงจะยิ้ม เมื่อจะมีการเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน-ท่าพระ ซึ่งจะทำให้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงหัวลำโพง-บางแค และบางซื่อ-ท่าพระ เชื่อมต่อการเดินทางครบลูปเป็นวงกลมตลอดเส้นทาง ซึ่งแน่นอนอว่า จะส่งผลต่อการเดินทางของประชาชน และเกิดการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ เพื่อรองรับความต้องการอยู่อาศัยหรือการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าห้องชุด เนื่องจากราคาในโซนนี้ยังไม่สูงเท่ากับคอนโดฯ ในเมือง ที่อัตราผลตอบแทน (ยิลด์) ค่อนข้างไม่จูงใจ เช่น โซนสุขุมวิท ยิลด์เฉลี่ยต่ำกว่า 4% เนื่องจากราคาห้องชุดมีราคาสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีผู้ประกอบการทยอยลงทุนโครงการคอนโดฯ ในเส้นรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมาอย่างต่อเนื่อง และมากขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเส้นถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) มีการลงทุนและพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในโซนดังกล่าวเป็นจำนวนมาก มีโครงการมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6-7 โครงการ รวมถึงค่ายรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ฯ บริษัท แสนสิริ บริษัท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทศุภาลัยฯ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) และบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ เป็นต้น หรือแม้แต่ค่ายยักษ์ใหญ่ บริษัท เอ็มบีเค เรียลเอสเตทฯ ได้สะสมที่ดินติดถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 7 บนเนื้อที่ 4 ไร่ หน้ากว้าง 100 เมตร อยู่ใกล้สถานี MRT จรัญฯ 13 โดยจะเริ่มพัฒนาเมื่อ EIA แล้วเสร็จ รวมถึงบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ฯ มีที่ดิน 1 แปลง บริเวณอู่รถเมล์เดิม ใกล้กับซอยสวนผักที่จะข้ามมาปิ่นเกล้า รอการพัฒนาอยู่
จากการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการ ทำให้ราคาที่ดินบนถนนจรัญสนิทวงศ์ ได้ขยับขึ้นมามาก จนอาจจะทำให้ราคาขายคอนโดฯ จะเกินกว่ากำลังของกลุ่มลูกค้าได้ในอนาคต โดยราคาที่ดินบนถนนสายหลักประมาณ 220,000-460,000 บาทต่อตารางวา (ตร.วา) แต่ก็เริ่มมีผู้ประกอบการบางรายขยับเข้าไปพัฒนาในซอย เนื่องจากต้นทุนยังเหมาะสมกับสินค้าที่นำเสนอ ประกอบกับราคาที่ยังอยู่ในกรอบของการลงทุนได้ประมาณ 70,000-180,000 บาทต่อ ตร.วา
ขณะที่สถานการณ์เรื่องราคาขายของคอนโดฯ ที่อยู่รอบนอกเมืองตามแนวรถไฟฟ้า เช่น ตลอดแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ราคาคงปรับขึ้นได้ไม่มาก เนื่องจากยังมีซัปพลายคงค้างมาก ทำให้การแข่งขันค่อนข้านรุนแรง และอาจจะเห็นแนวโน้มของราคาคอนโดฯ ในปี 2563 ที่จะปรับลดลงได้ประมาณ 10% เนื่องจากต้องการเร่งระบายสต๊อก และลดปัญหาเรื่องภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 แต่ยังมีเงื่อนเวลาให้สต๊อกคอนโดฯ เหลือขายในช่วง 3 ปีแรก
คอนโดฯ เส้นจรัญฯ ราคาเกินแสนบาท/ตร.ม.ขายอืด
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด ให้มุมมองต่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ว่า เมื่อมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเกิดขึ้น ราคาที่ดินมีการเปลี่ยนแปลง จากประมาณ 100,000 บาทต่อ ตร.วา ขยับขึ้นไปในปัจจุบันกว่า 300,000 บาทต่อ ตร.วา และมากกว่านี้ในหลายพื้นที่ จึงเห็นแต่โครงการคอนโดฯ เท่านั้นที่สามารถพัฒนาบนที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินได้แบบที่เห็นในปัจจุบัน พื้นที่ตลอดแนวเส้นทางรถไฟฟ้า มีคอนโดฯทั้งหมด 25,783 ยูนิต เป็นคอนโดฯ ที่อยู่ในพื้นที่ตามแนวถนนประชาราษฎร์สาย 1 และ 2 ประมาณ 7,407 ยูนิต และเป็นคอนโดฯ ที่อยู่ตามแนวถนนจรัญสนิทวงศ์ 18,376 ยูนิต โดยพื้นที่ตามแนวถนนจัรญสนิทวงศ์ มีจำนวนคอนโดฯ มากกว่าชัดเจน เพราะมีพื้นที่ที่ใหญ่กว่า อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ พร้อมอยู่แล้วในพื้นที
อัตราการขายคอนโดฯ ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ อยู่ที่ประมาณ 84% โดยโครงการที่อยู่ในพื้นที่ตามแนวถนนประชาราษฎร์สาย 2 มีอัตราการขายอยู่ที่ประมาณ 86% เพราะโครงการส่วนใหญ่เปิดขายมาหลายปีแล้ว และเริ่มมีอัตราการขายดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งปิดโครงการเมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ส่วนโครงการคอนโดฯ ที่อยู่ในพื้นที่ตามแนวถนนจรัญสนิทวงศ์ มีอัตราการขายเฉลี่ยที่ประมาณ 83%
โครงการคอนโดฯ ที่เปิดขายในพื้นที่ตามแนวถนนจรัญสนิทวงศ์ ถ้ามีราคาขายมากกว่า 100,000 บาทต่อ ตร.ม. จะขายได้ช้า แม้ว่าจะสร้างเสร็จแล้ว ก็อาจจะยังมียูนิตเหลือขายอยู่แบบที่เห็นได้ในหลายโครงการในปัจจุบัน เพราะราคาขายคอนโดฯ ในพื้นที่ตามแนวถนนจรัญสนิทวงศ์อยู่ที่ประมาณ 81,000 บาทต่อตร.ม. ส่วนโครงการคอนโดฯ ในพื้นที่ตามแนวถนนประชาราษฎร์สาย 2 อยู่ที่ประมาณ 97,000 บาต่อ ตร.ม. การซื้อคอนโดฯ เพื่อลงทุนในพื้นที่นี้อาจจะไม่ใช่การลงทุนเพื่อหวังเก็งกำไรระยะสั้น ยกเว้นบางโครงการที่กระแสดีและจำนวนยูนิตไม่มาก อีกทั้งราคาเปิดขายไม่สูงเกินไป (ยกตัวอย่างเช่น โครงการพลัม คอนโด ปิ่นเกล้า, ไอดีโอ จรัญฯ 70)
ศุภาลัย-LPN ผุดโครงการพร้อมรับ MRT
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI กล่าวว่า การให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ครบลูป มีความสำคัญมาก ช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้ว โดยทำให้ฝั่งจรัญสนิทวงศ์ สามารถเชื่อมไปยังฝั่งอื่นของกรุงเทพฯ ได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่จะอาศัยแต่รถยนต์อย่างเดียว ซึ่งจริงๆ แล้ว ช่วยตั้งแต่การเปิดใช้สถานีบางหว้ามาแล้ว แต่เส้นที่เปิดบนถนนจรัญสนิทวงศ์และถนนสาขาต่างๆ ที่เข้าตามซอยมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งในส่วนของศุภาลัย เรามีที่ดินพร้อมอยู่แล้ว โดยในปี 62 ภาพรวมศุภาลัยได้ซื้อที่ดินไปเกือบ 6,000 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 8,000 ล้านบาท เพราะภาวะอสังหาริมทรัพย์ไม่ดีมาก ราคาที่ดินยังไม่ปรับตัวลง แต่ปลายปีก็เริ่มเห็นสัญญาณราคาที่ดินลงบ้างแล้ว
"การซื้อขายที่ดินในปี 2563 จะเป็นอย่างไร ต้องดูเรื่องของเจ้าของที่ดินเข้าใจสภาวะตลาด ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน ราคาก็ควรจะแผ่วลงบ้าง และเรื่องของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้ว่าจะเห็นการเสนอขายที่ดินเพิ่มขึ้น แต่ราคากลับยังไม่ลง ต้องดูว่า เจ้าของที่ดินเดือดร้อนแค่ไหน จนเกิดการปล่อยที่ดินออกมา ตรงนี้คงต้องรอการจ่ายภาษีสัก 1-2 รอบก็คงเห็น"
ภาษีที่ดินไม่กระทบ ยันแลนด์แบงก์ในมือปั๊มได้แสน ล.
นายไตรเตชะ กล่าวว่า ปัจจุบัน ศุภาลัย มีแลนด์แบงก์ในมือเมื่อพัฒนาโครงการแล้วจะมีมูลค่าประมาณแสนล้านบาท ซึ่งเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อย่าไปคิดเป็นสาระมากนัก เพราะในมุมเราก็ไม่ต่างจากเดิม เพราะปกติ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ต่อปีแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดีก็ตาม หรือแม้แต่ที่ดินตามแนวถนนตัดใหม่ ศุภาลัยก็เข้าไปเก็บ เนื่องจากราคาที่ดินปรับสูงมากกว่าภาษี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) บริษัทอสังหาฯ ที่บุกเบิกและทำตลาดคอนโดฯ ในโซนปิ่นเกล้ามาหลายสิบปี ล่าสุด อยู่ระหว่างการเจรจาที่ดินอีก 2 แปลงในเส้นถนนจรัญสนิทวงศ์ พัฒนาโครงการอาคารชุดทั้งรูปแบบแนวสูงและโลว์ไรส์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี-สิรินธร บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ อยู่ใกล้กับโรงพยาบาลหู ตา คอ จมูก ใกล้เซ็นทรัลปิ่นเกล้า
"ออริจิ้นฯ" ชี้คอนโดฯ ปล่อยเช่าแนวรถไฟฟ้ายังเติบโต
นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเปิดให้บริการรถไฟฟ้า MRT และ BTS ส่วนต่อขยายเพิ่มเติมถือเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคให้สามารถเดินทางไปมาเส้นทางต่างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นประโยชน์ต่อภาคอสังหาฯ ในระยะยาวและโครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้วในบริเวณใกล้เคียงสถานี
"เชื่อว่ารถไฟฟ้าเปิดใหม่จะยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญให้ผู้ประกอบการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในแถบดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากในหลายสถานียังคงมีซัปพลายเดิมที่รอการดูดซับอยู่ ทั้งนี้ อาจมีความต้องการสำหรับตลาดปล่อยเช่ามากขึ้นในบางสถานี เช่น สถานีเสนานิคม สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยปัจจุบัน บริษัทมีโครงการอยู่ในแถบดังกล่าว เช่น โครงการคอนโดมิเนียมไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้"
ปักหมุดผุดอาคารชุดเกาะแนวสายสีเขียวตอนเหนือ
นายสุรเชษฐ กองชีพ กล่าวเสริมว่า ในขณะที่พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวตอนเหนือ ซึ่งเปิดให้บริการเพิ่มเติมจากสถานีหมอชิตไปแล้วอีก 5 สถานี ไปสิ้นสุดที่สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้น เป็นอีก 1 พื้นที่ที่มีโครงการคอนโดฯ เปิดขายใหม่มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยจะเห็นได้ชัดในช่วงปี 2558 เป็นต้นมา มีโครงการคอนโดฯ เปิดขายใหม่มากกว่า 3,500 ยูนิตต่อปีต่อเนื่องติดต่อกันถึง 4 ปี เพิ่งจะลดลงในปี 2562 เพราะภาวะตลาดคอนโดฯ และยังมีคอนโดฯ เหลือขายอยู่อีกไม่น้อยในพื้นที่นี้
จับตา 2 แปลงใหญ่ใกล้ห้าแยกลาดพร้าวปลุกการลงทุน
พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต-คูคต เป็นพื้นที่ที่คาดว่าจะมีการเปิดขายโครงการคอนโดฯ ใหม่ต่อเนื่องในอนาคต อีกทั้งยังมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่อาจจะมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต เช่น ที่ดินของกลุ่มเซ็นทรัลที่ซื้อต่อมาจากกลุ่มบีทีเอส หรือที่ดินที่เป็นแดนเนรมิตเดิม ซึ่งทั้ง 2 แปลงนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าห้าแยกลาดพร้าว และสถานีพหลโยธิน 24
ตระกูล "บุญดีเจริญ" ร่วมทุน ผุดโคเวิร์กกิ้งสเปซ
นายเจตรมงคล บุญดีเจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจริญกฤษ เอ็นเตอร์ไพร้ส์ จำกัด (กลุ่มผู้ถือหุ้นของโครงการ “The Grand Rama 9” มูลค่าแสนล้านบาท ย่านพระราม 9 ที่ขายหุ้นให้แก่กลุ่มเซ็นทรัลเมื่อปี 2561) เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน360" ว่า อาคารพหลโยธิน 19 ถือเป็นอีกกิจการหนึ่งสำหรับการลงทุนในธุรกิจครอบครัวของเรา ซึ่งพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ มากว่า 50 ปี โดยพัฒนาโครงการขนาดใหญ่กว่า 6,000 ไร่ หรือมากกว่า 20 โครงการ ในครั้งนี้ เราเลือกที่จะลงทุนในโครงการพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพฯ ที่กำลังเฟื่องฟูในตอนนี้ ดังนั้น จึงร่วมทุนกับพันธมิตรผู้บริหารธุรกิจการบริการพื้นที่ทำงานชั้นนำระดับโลก อย่างสเปซเซส
"การร่วมทุนครั้งนี้ของ บริษัทเจริญกฤษ และกลุ่ม IWG ครั้งนี้ เป็นการแสดงความมั่นใจในตลาดอสังหาฯ ของกรุงเทพฯ และเราหวังว่าการลงทุนครั้งนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงของย่านพหลโยธินจากย่านที่พักอาศัยมาสู่ย่านธุรกิจชั้นนำของกรุงเทพฯ อันใหม่ ซึ่งที่ดินของเจริญกฤษ ยังมีที่ดินอีกจำนวนมาก และมีที่ดินหลายแปลงที่กำลังจะพัฒนาโครงการ ซึ่งอยู่ในแผนที่เราเตรียมไว้ ตอนนี้ ขอไม่ตอบอะไร แล้วเมื่อมีแถลงข่าว จะเรียนเชิญมาร่วมงาน"
วิจัยกรุงไทย ฟันธงปี 63 อสังหาฯ ขยายตัว 5.3-7.5%
นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ของธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ360" ถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปี 2562 ที่จะผ่านไปว่า ในปีนี้ (62) ถือว่าเป็นปีแห่งการปรับฐานของตลาดที่อยู่อาศัย เนื่องจากมีการบังคับใช้เกณฑ์ LTV ใหม่ และยังต้องเผชิญต่อปัจจัยลบ ทั้งภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมไปถึงการอ่อนค่าของเงินหยวน เมื่อเปรียบเทียบกับเงินบาท ที่ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยของไทยในมุมมองผู้ซื้อชาวจีนนั้นมีราคาสูงขึ้น ล้วนกดดันให้มูลค่าตลาดที่อยู่อาศัย (วัดจากมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์) ในปี 2562 มีแนวโน้มเติบโตได้ต่ำกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา
โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า ตลาดคอนโดฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีมูลค่า 2.42 แสนล้านบาท หดตัว 11%(YoY) จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบจะอยู่ในระดับทรงตัวประมาณ 2.94 แสนล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมในปี 62 มีมูลค่า 5.36 แสนล้านบาท หดตัว 5.1% (YoY)
อย่างไรก็ดี ในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยจะได้รับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง เหลือเพียงรายการละ 0.01% จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยกระตุ้นยอดขายของที่อยู่อาศัยมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่ง Krungthai COMPASS ประเมินว่าจะมีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยพร้อมขายในปี 2563 ที่เข้าเกณฑ์ถึง 134,000 ยูนิต แบ่งเป็นยูนิตคอนโดมิเนียมราว 60% และยูนิตที่อยู่อาศัยแนวราบ 40%
ทั้งนี้ ในปี 2563 ได้ประเมินว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะกลับมาขยายตัวได้ราว 5.3-7.5% (YoY) โดยมีมูลค่า 5.65-5.77 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดคอนโดฯ ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 4.5-6.5% (YoY) ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการซื้อ โดยส่วนใหญ่นั้นเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง มีโอกาสเติบโตได้สูงกว่าที่ 6-8.5% (YoY)
วิเคราะห์ 5 ทำเลคอนโดฯ ที่มีศักยภาพ-โซนเฝ้าระวัง
สำหรับการขยายตัวของโครงการคอนโดฯ ในปัจจุบัน ทาง Krungthai COMPASS ได้พิจารณาถึงทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยพิจารณาจาก 1) ระยะเวลาขายหมดของโครงการคอนโดฯ ในแต่ละทำเล เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 2) การเปลี่ยนแปลงของยูนิตเหลือขายของคอนโดฯ ในแต่ละทำเลเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยประเมินว่า ณ ครึ่งแรกของปี 62 มี 5 ทำเลที่มีศักยภาพในการขายคอนโดฯ
ชี้กลุ่มซื้อบ้านหลังแรกยังมี-กู้ได้ 100%
นายกณิศ กล่าวเสริมว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ข้อมูลการปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ที่เผยแพร่โดย ธปท. ยังแสดงให้เห็นว่าการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในสัญญาแรกโดยรวมยังสามารถเติบโตได้อยู่ที่ 8.8% (YoY) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 62 โดยมีเพียงการกู้ในสัญญาที่ 2 และการกู้ตั้งแต่สัญญาที่ 3 ขึ้นไปที่หดตัว 14% (YoY) และ 31.4%(YoY) ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคที่ยังไม่เคยกู้ซื้อที่อยู่อาศัย ยังคงมีความสามารถในการกู้อยู่ นอกจากนี้ ผู้บริโภคในกลุ่มนี้ยังสามารถกู้ได้เต็ม 100% (ไม่ได้รับผลกระทบจากเกณฑ์ LTV)