xs
xsm
sm
md
lg

“ไทคอน” ทุ่มงบหมื่น ล. รุกขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์-ผลักดันธุรกิจให้เติบโต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ไทคอน” รุกธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการอุตสาหกรรมเต็มสูบ ทุ่มงบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ Total Dimension เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ ผ่านแผนธุรกิจเชิงรุก 4 ด้าน ทั้ง “รุกเจาะตลาดด้วยจุดแข็งด้านบริการที่ครบวงจร พร้อมเปิดธุรกิจใหม่ขยายฐานลูกค้า-สร้างนวัตกรรมให้องค์กร และผลิตภัณฑ์-รุกขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ ผลักดันธุรกิจให้เติบโต และรุกวางรากฐานการเงินที่แข็งแกร่ง” มั่นใจครองความเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง



นายวีรพันธ์ พูลเกษ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON กล่าวว่า ไทคอน ในฐานะผู้นำตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแบบครบวงจรในอาเซียน ที่ก่อตั้งขึ้นในไทยตั้งแต่ปี 2533 ดำเนินธุรกิจในการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ทั้งโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าที่มีคุณภาพสูง ทันสมัยในระดับสากล ทั้งในรูปแบบพร้อมใช้ (Ready-Built) และสร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) รวมถึงการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ ส่งผลให้ไทคอน มีลูกค้าชั้นนำให้ความไว้วางใจในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ แอมเวย์, วัตสัน, ลอรีอัล, เนสท์เล่ย์, ดีเอชแอล, ดีเคเอสเอช, ลาซาด้า, แมคโคร, ฟอร์ด, มิตซูบิชิ, บีเอ็มดับเบิ้ลยู, ไทยเบฟเวอเรจ, บิ๊กซี, เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ เป็นต้น ทำให้ไทคอน สามารถครองความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยสัดส่วนการตลาดกว่า 48% หรือคิดเป็นพื้นที่ในการให้บริการกว่า 2.7 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ ไทคอน ยังเป็นผู้ประกอบการรายแรก ๆ ของไทย ที่จัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในชื่อ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือ TREIT ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ไทคอนสามารถขยายธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“ในปีที่ผ่านมา ถือเป็นอีกปีที่มีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของบริษัทฯ อาทิ การเข้ามาถือหุ้นของบริษัท เฟรเซอร์ส เซ็นเตอร์พอยต์ ลิมิเต็ด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด) ซึ่งมีธุรกิจหลักในการพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์, โรงแรม, ที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน, ศูนย์การค้า, และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมในระดับอินเตอร์เนชันแนล ถือเป็นการเริ่มต้นในการปรับโมเดลธุรกิจของไทคอนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเริ่มส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมา เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะจากการปรับโครงสร้างทางการเงิน จากเงินเพิ่มทุนกว่า 13,000 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มรายได้ค่าเช่ามากขึ้น สร้างความมั่นคงในโครงสร้างรายได้ของบริษัทฯ ทำให้ผลการดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมา น่าพึงพอใจ จะเห็นได้จากผลประกอบการรวมกว่า 2,086 ล้านบาท
 
โดยมียอดกำไรสุทธิ 482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากปี 2559 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ผนึกกำลังกับบริษัท เซอร์ยา ซีเมสตา อินเตอร์นูซ่า จำกัด (มหาชน) หรือ SSIA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของอินโดนีเซีย เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศอินโดนีเซีย ในปีที่ผ่านมาก็สามารถคว้าบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่างยูนิลีเวอร์ ยามาฮ่า อายิโนะโมะโต๊ะ และหัวเว่ย มาเป็นลูกค้า และได้รับการตอบรับ เป็นอย่างดี โดยมีผู้เช่าคลังสินค้าเต็มทุกพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตรในปีที่ผ่านมา ไทคอนยังประสบความสำเร็จด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน สะท้อนจากการคว้ามาตรฐาน LEED® Building (Leadership in Energy and Environmental Design) ระดับโกลด์ และมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) โครงการ TPARK บางพลี 4 คว้ามาตรฐาน LEED ระดับซิลเวอร์ให้กับคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ของแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกบนพื้นที่โครงการ TPARK บางนา นอกจากนี้ ไทคอน ยังมีแผนที่จะเตรียมลงทุนเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาการใช้แผง Solar Cell ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับลูกค้าและบริษัท” นายวีรพันธ์ กล่าว

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในปีนี้ คาดว่ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมองเห็นสัญญาณบวกจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ แรงหนุนด้านการลงทุนของรัฐบาล อาทิ การลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง การอนุมัติร่าง พ.ร.บ. โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นต้น อีกทั้งยังมีการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนที่มาจากทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ โดยเฉพาะในธุรกิจ New S-Curve รวมถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ที่จะนำไปสู่ความต้องการด้านการจัดเก็บและกระจายสินค้า ซึ่งปัจจัยข้างต้นส่งผลให้ความต้องการโรงงาน และคลังสินค้า ที่มีมาตรฐานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

นายวีรพันธ์ กล่าวต่อไปว่า “เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยบวกในตลาดดังที่ได้กล่าวมา บริษัทจึงได้ทุ่มงบลงทุน 10,000 ล้านบาท พร้อมประกาศโรดแมปแผนการดำเนินธุรกิจ 3 ปี ภายใต้ปรัชญาการดำเนินงานในการเป็น “ผู้สร้างสรรค์ประสบการณ์อันทรงคุณค่าเพื่อลูกค้า” หรือ “Delivering Valuable Experiences” โดยเราจะเป็นเสมือนเพื่อนคู่คิดของลูกค้า และพันธมิตร ที่พร้อมจะส่งมอบสินค้า โซลูชัน และบริการที่ตรงความต้องการ ที่สำคัญ จะใช้นโยบายเชิงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนองค์กรและพันธมิตรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ หรืออุตสาหกรรมยุค 4.0 ที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคตอันใกล้”

นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับโรดแมปหรือแผนการดำเนินธุรกิจ 3 ปี ไทคอนจะใช้กลยุทธ์ Total Dimension ขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติผ่านแผนธุรกิจเชิงรุก 4 ด้าน ดังนี้

“รุกเจาะตลาดด้วยจุดแข็งด้านบริการที่ครบวงจร พร้อมเปิดธุรกิจใหม่ขยายฐานลูกค้า” ตอกย้ำความเชี่ยวชาญในการให้บริการแบบครบวงจร ทั้งรูปแบบพร้อมใช้ (Ready-Built) และพัฒนาตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนในกลุ่ม Built-to-Suit มากขึ้น เป็น 100,000 ตารางเมตรต่อปี โดยจะชูจุดแข็งแนวทางการทำงานแบบ Co-creation ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

โดยไทคอนกำหนดเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าผ่านเครือข่ายของกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด (FPL) นอกจากนี้ ไทคอน ยังมีโครงการที่จะจับมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงระดับสากลในการเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่หนุนการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซ และอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-Curve ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการขยายธุรกิจ และกลุ่มลูกค้าอีกก้าวหนึ่งของบริษัทอีกด้วย

“รุกสร้างนวัตกรรมให้องค์กรและผลิตภัณฑ์” ปรับองค์กรให้พร้อมรุกไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น ชูกลยุทธ์สร้างนวัตกรรมทั้งในกระบวนการทำงาน และนวัตกรรมของสินค้าและบริการต่าง ๆ การเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ โดยการเพิ่มเติมเทคโนโลยีสมัยใหม่ การรวมจุดแข็งของบริษัทที่มีอาคารทั้งแบบ Ready-Built และ Built-to-Suit เพื่อสร้างโครงข่ายการผลิตและลอจิสติกส์ (Production & Logistics Footprints) ที่มีเอกลักษณ์ ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“รุกผลักดันธุรกิจให้เติบโต” ไทคอน ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) เป็น 85% ภายในปี 2563 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 69%

นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายพื้นที่ทั้งประเทศไทย และต่างประเทศ โดยในประเทศไทยวางแผนขยายการพัฒนาเพิ่มเติมในเขตอีอีซี เตรียมร่วมกับบริษัทพันธมิตรในกลุ่มผู้ถือหุ้นเปิดคลังที่ดินร่วมพัฒนาศักยภาพรองรับกับดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น จีน และยุโรป สำหรับในต่างประเทศ ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดอินโดนีเซียที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเตรียมรุกตลาดกลุ่มอาเซียน ซึ่งมีการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง ทั้งนี้ จะขยายไปตามการขยายธุรกิจของเฟรเซอร์สที่มีธุรกิจในหลากหลายประเทศอยู่แล้ว

“รุกวางรากฐานการเงินที่แข็งแกร่ง สร้างสมดุลด้านการบริหารจัดการรายได้” จากปีที่ผ่านมา ไทคอนได้มีการวางรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากการเพิ่มทุนของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ส่งผลให้ไทคอนมีสภาพคล่องทางการเงินเพื่อใช้ในการลงทุนรองรับการขยายธุรกิจตามแผนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ไทคอนยังกำหนดกลยุทธ์เพื่อสร้างสมดุลในโครงสร้างรายได้ของธุรกิจ ระหว่างรายได้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากทรัพย์สิน (Recurring Income) พร้อมทั้งเชื่อมั่นใน TREIT ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตผ่านการขายทรัพย์สินแบบครบวงจร และรายได้อื่น ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเติบโตระยะยาว

“จากกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ และแผนธุรกิจต่าง ๆ ภายใต้โรดแมป 3 ปีที่วางไว้ ตลอดจนการเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรม และกลุ่มนักลงทุน เรามั่นใจว่าจะช่วยผลักดันกำไรสุทธิปีนี้ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด สามารถครองความเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศให้กว้างขึ้น และก้าวสู่ผู้นำตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในระดับอาเซียนภายในปี 2020 ด้วยพื้นที่บริหารจัดการกว่า 3 ล้านตารางเมตร” นายวีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น