ผลิตไฟฟ้า ประกาศกำไรสุทธิปี 2560 ทะยานถึง 11,818 ล้านบาท เล็งปันผลครึ่งปีหลัง 3.50 บาท พร้อมเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2561 เดินหน้าขยายการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มุ่งเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2569 ขณะปี 60 กำไรทะลุเป้า ผลจากการรับรู้กำไรเต็มปีจากโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว
นายจักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยว่า “ผลประกอบการของเอ็กโก กรุ๊ป ปี 2560 ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีกำไรสุทธิ 11,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 3,497 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42 โดยคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท ซึ่งหากได้รับการอนุมัติเท่ากับบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลตลอดปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 7 บาท”
สำหรับผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปี 2560 ประกอบด้วยการบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างให้แล้วเสร็จ และเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนด การขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า และการขายสินทรัพย์ โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างแล้วเสร็จ และเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนด จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า “คลองหลวง” จังหวัดปทุมธานี และโรงไฟฟ้า “บ้านโป่ง” จังหวัดราชบุรี
การขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ การโอนหุ้น 20.07 ในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “ซาลัก” และ “ดาราจัท” ประเทศอินโดนีเซีย แล้วเสร็จ และการลงทุนใหม่ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “น้ำเทิน 1” สปป.ลาว ในสัดส่วนร้อยละ 25 การขายสินทรัพย์ จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ การขายหุ้นที่ถืออยู่โดยทางอ้อมร้อยละ 49 ในบริษัท มาซินลอค พาวเวอร์ พาร์ทเนอร์ จำกัด (เอ็มพีพีซีแอล) ซึ่งจะทำให้เอ็กโก กรุ๊ป รับรู้รายได้ 850 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 27,660 ล้านบาท) ปี 61 ลุยขยายธุรกิจไฟฟ้าเอเชียแปซิฟิก มุ่งเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ร้อยละ 30 ภายในปี 2569
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2561 เอ็กโก กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร และสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น ด้วยเป้าหมายที่จะรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อย่างน้อยร้อยละ 10 โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญ โดยขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และการบริหารจัดการโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนด และภายใต้งบประมาณที่วางไว้ การแสวงหาโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว และการพัฒนาโครงการ Greenfield ทั้งในประเทศ และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การขยายการลงทุนในโครงการประเภทพลังงานหมุนเวียน เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ร้อยละ 30 ภายในปี 2569 รวมทั้งการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่
“เรายังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของเอ็กโก กรุ๊ป โดยจะต่อยอดธุรกิจในต่างประเทศที่มีฐานอยู่แล้ว ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดหลัก รวมทั้ง สปป.ลาว และอินโดนีเซีย รวมทั้งแสวงหาโอกาสขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะโครงการพลังงานหมุนเวียน เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนให้ได้ ร้อยละ 30 ภายในปี 2569 ตามเป้าหมาย ปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วทั้งในและต่างประเทศ รวม 16 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขาย และตามสัดส่วนการถือหุ้น 876 เมกะวัตต์ หรือร้อยละ 20.56 ของกำลังการผลิตทั้งหมด”
“สำหรับการลงทุนในประเทศไทย เอ็กโก กรุ๊ป มีความพร้อมสำหรับการลงทุน ตามนโยบายของภาครัฐ และแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ที่กำลังจะมีการปรับปรุงใหม่ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก และขนาดเล็กมาก (SPP และ VSPP) ประเภทพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งบริษัทฯ อยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมของการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) และมีความพร้อมที่จะขยายโครงการโรงไฟฟ้า IPP ในพื้นที่เดิม” นายจักษ์กริช กล่าวเสริม
ในปีนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ได้เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 12,000 ล้านบาท สำหรับ 3 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่ โรงไฟฟ้า “ไซยะบุรี” และ “น้ำเทิน 1” สปป.ลาว และโรงไฟฟ้า “ซานบัวนาเวนทูรา” ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในปี 2562 และ 2565 ทั้งนี้ งบลงทุนดังกล่าวยังไม่นับรวมโครงการใหม่ที่จะเข้าไปลงทุนและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า “ปากแบง” สปป.ลาว โรงไฟฟ้า “สตาร์ เอนเนอร์ยี่ ส่วนขยาย (หน่วยที่ 3 และ 4)” ประเทศอินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้า “กวางจิ” ประเทศเวียดนาม
“นอกจากบริษัทจะมีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ความแข็งแกร่งทางการเงิน และความน่าเชื่อถือแล้ว เอ็กโก กรุ๊ป ยังตระหนักดีว่า ความยั่งยืนของธุรกิจต้องอยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ควบคู่กับการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง จึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมทั้งด้านธุรกิจ และสังคม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน เพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้ถือหุ้นในแต่ละปี” นายจักษ์กริช กล่าวสรุป