บีซีพีจีตั้งเป้าปีนี้มีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 200 เมกะวัตต์ ดัน EBITDA โตขึ้น 15-20% ปลื้มปี 60 โกยกำไรสุทธิ 2,016 ล้านบาท โตขึ้น 31% ประกาศจ่ายปันผลงวดปี 60 หุ้นละ 61 สตางค์
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่อีก 200 เมกะวัตต์ จากปีปัจจุบันมีกำลังผลิตราว 600 เมกะวัตต์ โดยกำลังการผลิตใหม่จะมาจากการทำธุรกิจแบบ Wholesale หรือสร้างโรงไฟฟ้าขายไฟเข้าระบบประมาณ 150 เมะกะวัตต์ และที่เหลืออีก 30-50 เมกะวัตต์จะเป็นการผลิตและจำหน่ายไฟให้แก่ผู้บริโภครายย่อย (Retail) คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) เพิ่มขึ้น 15-20%
กำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่วางเป้าไว้ 150 เมกะวัตต์นี้ บริษัทจะเป็นการลงทุนทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังลม พลังงานใต้พิภพ และชีวมวล เป็นต้น โดยมองการลงทุนทั้งในไทยและภูมิภาคนี้ ซึ่งจะเน้นแบบ green field เพื่อให้สามารถบริหารจัดการด้านต้นทุนได้ต่ำ หรือถ้าเป็นการเข้าซื้อกิจการ (M&A) จะเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างการเริ่มต้นก่อสร้าง เป็นต้น
ส่วนการทำธุรกิจแบบ Retail เน้นการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงเพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ด้วยการนำ Blockchain Technology มาบริหารจัดการการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านอินเทอร์เน็ตในรูปแบบ Peer-to-Peer โดยมีบริษัทเพาเวอร์เล็ดเจอร์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการต่างๆ ได้แก่ Smart Green Community ร่วมกับ บมจ.แสนสิริ ซึ่งคาดว่าโครงการแรกจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 2561 ตลอดจนการทำโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาอาคารในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ซึ่งมีเป้าหมาย 50 แห่ง
สำหรับความคืบหน้าการร่วมพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ในพื้นที่มาบตาพุดให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม Smart Park นั้น ในส่วนของบริษัทจะเป็นผู้พัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ โดยอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด คาดว่าจะมีความชัดเจนใน 5-6 เดือน ก่อนจะเริ่มดำเนินการได้ปลายปีนี้ และคาดว่าทั้งโครงการจะแล้วเสร็จภายในปี 2563
นายบัณฑิตกล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาทในการขยายธุรกิจไฟฟ้าทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยแหล่งเงินจะมาจากกระแสเงินสดที่เข้ามาแต่ละปีและการกู้ยืมเพิ่มเติม โดยไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้ในปีนี้
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้า 3,323 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2559 เป็นผลจากการรับรู้รายได้เพิ่มในโครงการที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์เต็มปีหรือเกือบเต็มปี ได้แก่ โครงการโซลาร์สหกรณ์ในไทย 12 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้านิคาโฮและนากิในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิตรวม 24 เมกะวัตต์ และมีกำไรสุทธิ 2,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนและประเมินค่าจากการลงทุนในโครงการพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ และพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้เสนอขออนุมัติต่อผู้ถือหุ้นในการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2560 หรือไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดวันที่ 1 มกราคม-30 กันยายน 2560 ที่ได้จ่ายไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.45 บาท จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2560 รวมอัตราหุ้นละ 0.61 บาท