เปิด 3 ทำเลศักยภาพ ทั้งโซนรัชโยธิน-พระราม 9-สุขุมวิท หลัง “ออริจิ้น” ลุยปักธงคอนโดฯ แบรนด์ไนท์บริดจ์ 3 โครงการมูลค่า 6,000 ล้านบาท รองรับยอดขายไตรมาส 1 มั่นใจปิดการขายได้ พร้อมปรับกลยุทธ์ขายผ่านออนไลน์ 30% แต่ดีมานด์ล้นถึง 1,000 ราย
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ "ORI" กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 การคาดการณ์อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจมีผลต่อตลาด หากจีดีพีโตระดับ 3% ตลาดอสังหาฯค่อนข้างทรงๆตัว แต่หากจีดีพีโต 3.5% จะมีผลต่อตลาดอสังหาฯให้ขยายตัว 5-10% และเชื่อว่าปีนี้ ระดับ 4% ปีนี้น่าจะได้เห็น ซึ่งจะเป็นดีต่อตลาดอสังหาฯค่อนข้างมาก โดยในปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑลสูงขึ้นมามีมูลค่าประมาณ 420,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ มีลูกค้าจากต่างประเทศเข้าสู่ระดับ 20% หรือมีมูลค่าประมาณ 80,000 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้าต่างประเทศมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในไทยเป็นบ้านหลังที่สอง ประกอบกับอัตราปันผลตอบแทน (yield)ประมาณ 4% สูงกว่าประเทศของตนเองที่ระดับ 1-2%
“เศรษฐกิจปีนี้ดีขึ้น คาดว่าตลาดอสังหาฯ จะเติบโตประมาณ 5-10% มูลค่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเพิ่มมาอยู่ที่ 430,000-400,000 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้ ตลาดคอนโดฯ ยังเติบโต เนื่องจากคำมันใหญ่ขึ้น เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่ถูกลง ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว สินเชื่อจะถูกมาก ทำให้ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านลดลง และแม้ปีนี้มีแนวโน้มดอกเบี้ยจะขึ้น 50 สตางค์ แต่ยังต่ำอยู่ ในมุมกลับกัน การที่ดอกเบี้ยไม่สูง ยิ่งส่งให้ที่อยู่อาศัยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ที่สำคัญ สถาบันการเงินชอบปล่อยเฮาส์ซิ่งโลน เพราะหลักประกันคุ้ม”
นายพีระพงศ์ กล่าวถึงแผนธุรกิจในช่วงไตรมาสแรกของปี 61 ว่า บริษัทเดินหน้าขยายการเติบโตของธุรกิจ โดยได้เปิด 3 โครงการใหม่บนทำเลศักยภาพ ภายใต้แบรนด์ “ไนท์บริดจ์” รวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท ได้แก่ ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน มูลค่า 2,770 ล้านบาท จำนวน 488 ยูนิต ราคาต่อตารางเมตร (ตร.ม.) 140,000 บาท, โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 มูลค่า 2,380 ล้านบาท จำนวน 325 ยูนิต และโครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 มูลค่า 1,000 ล้านบาท จำนวน 304 ยูนิต
สำหรับจุดขายหลักของ 2 โครงการแรก ภายใต้แบรนด์ไนท์บริดจ์ สเปซ คือ แนวคิดการพัฒนาแบบ “Duo Space” ที่มีองค์ประกอบหลัก 4 ส่วน ได้แก่ 1. Vertical Space คือ การออกแบบพื้นที่ใช้งานแนวตั้งให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น พื้นที่เหนือครัว ส่วนอาบน้ำ สามารถใช้เป็นพื้นที่เก็บของได้ 2. Value Space ให้ทุกพื้นที่ใช้สอยภายในห้องสามารถใช้งานจริงได้อย่างคุ้มค่า 3. More Space เพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่สันทนาการ และมุมพักผ่อนสังสรรค์ให้มีขนาดใหญ่ และ 4. Flow Space เชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารด้วยการออกแบบให้มีการเล่นระดับโถงที่มีฝ้าเพดานสูง เป็น Double Space และ Triple Space
“ทุกห้องภายในทั้ง 2 โครงการจะมีเพดานสูงถึง 4.2 เมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สร้างมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัย และสร้างทางเลือก ตลอดจนไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างให้แก่ผู้บริโภคในย่าน New CBD เช่น พระราม 9 ที่โครงการส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัด โครงการของเราถือเป็นโครงการแรกที่มอบพื้นที่ใช้สอยพิเศษกว่าใครในทุกยูนิต มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตลาดเรียลดีมานด์” นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า สำหรับทำเลพระราม 9 ถือเป็นทำเลใจกลางย่านธุรกิจใหม่ (New CBD) โดยสถานี MRT พระราม 9 มีผู้ใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ในบรรดาสถานี MRT ทั้งหมด ภายในระยะ 3 กิโลเมตรจากโครงการ มีทั้งแหล่งงาน, ศูนย์การค้า, ศูนย์จัดแสดงสินค้าและลอจิสติกส์, โรงพยาบาล, สถานศึกษา อาทิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, The Super Tower, The Ninth Tower, มักกะสัน มิกซ์ยูส, อาคาร AIA, สำนักงานใหญ่ยูนิลีเวอร์, G Tower, เซ็นทรัล พระราม 9, เทอร์มินัล 21, โรงพยาบาลปิยะเวท, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เป็นย่านที่ผู้บริโภคมีรายได้เฉลี่ย 75,000-120,000 บาทต่อเดือน
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ พัฒนาโครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธินด้วย โดยจะนำคอนเซ็ปต์ Luxmore ของทางโนมูระ เข้ามาเพิ่มเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องการฟังก์ชันเฟอร์นิเจอร์ที่มอบความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ขณะที่ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 นั้น บริษัทจะนำระบบ Smart Home Automation และบริการหลังการขายโดยบริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น จำกัด ช่วยยกระดับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้แก่ผู้บริโภค
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าขายพรีเซล 3 โครงการอยู่ที่ 70% มูลค่า 4,200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นยอดขายหลักในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และหลังจากเดือน มี.ค. จะปรับราคาขายขึ้น 2-3% นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับรูปแบบวิธีการจองให้เข้าสู่ระบบออนไลน์ทั้งหมด ให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการต่าง ๆ โดยเปิดให้จองสิทธิถึงวันที่ 7 มี.ค. และเปิดจองตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. ตอนเที่ยง โดยวางเป้ายอดขายจากออนไลน์ประมาณ 30% หรือ 300 ยูนิต ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจกว่า 1,000 ราย
“การตลาดแบบออนไลน์ช่วยเราประหยัดงบการตลาดได้ค่อนข้างมาก คาดว่ารูปแบบออนไลน์ที่จะใช้ตลอดทั้งปี จะช่วยลดค่าการตลาดลงได้ครึ่งหนึ่งจากปัจจุบัน 3% ซึ่ง 1% ที่ลงมา ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 100 ล้านบาท และนำไปใช้เป็นส่วนลดให้ลูกค้า โดยลูกค้าที่จองผ่อนออนไลน์จะได้ส่วนลดถึง 3 แสนบาท จากเดิม 2 แสนบาท”
ด้านนายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวเสริมว่า แต่ละทำเลที่บริษัทเข้าไปลงทุนและเปิด 3 โครงการ เป็นทำเลที่มีศักยภาพ ที่มีกลุ่มลูกค้า และความต้องการ รวมถึงยังมีตลาดของนักท่องเที่ยว โซนรัชโยธิน ราคาที่ดินในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปรับขึ้น 20% ขณะที่ Capital Gain (ผลกำไรส่วนต่างจากราคาหลักทรัพย์) ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ทำเลพระราม 9 มีศักยภาพค่อนข้างมาก เป็นศูนย์กลางธุรกิจ ถนนแหล่งการเงิน มีนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนที่นิยมเดิมทางมา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสถานทูตจีน โดยพบว่า Capital Gain ในโซนพระราม 9 เฉลี่ยปีละ 4-6% อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากค่าเช่า ประมาณ 5-6% ต่อปี ขณะที่ยูนิตที่โครงการเปิดจำนวนไม่มาก 325 ยูนิต แต่โครงการโดยทั่วไปจะมีจำนวน 1,000 ยูนิต
และโซนสุขุมวิท ได้รับอานิสงส์เต็ม ๆ จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่เพิ่มส่วนต่อขยายออกมา ยอดขายเฉลี่ยของแต่ละโครงการที่เปิดในทำเลนี้จะเกิน 70% Capital Gain 5-6% และยิวด์สูงถึง 7% ซึ่งโครงการของผู้ประกอบการที่เปิดในโซนนี้จะมีทั้งคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน เนื่องจากสามารถรองรับกลุ่มคนทำงานที่จะสามารถเดินทางไปยังจังหวัดสำคัญ เช่น ชลบุรี ระยอง และพัทยา