อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม อวดกำไร 101.78 ล้านบาท หรือโต 52.77% ส่วนรายได้รวมทะลุพันล้าน อยู่ที่ 1,081.25 ล้านบาท โตขึ้น 33.60% ผลจากรายได้หลักจากงานบริการโครงข่ายเติบโต หลังจากรุกพื้นที่ให้บริการเพิ่มขึ้นครอบคลุม 75 จังหวัด ประกอบกับการรักษาฐานลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น บอร์ดใจดีจ่ายปันผลหุ้นละ 0.043 บาท เผยมีแผนระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจในอนาคตผ่านใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ Warrant ในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ผู้บริหารมั่นใจปีนี้โต 30-40%
นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,081.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 271.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.60% จากปี 2559 มีรายได้รวมอยู่ที่ 809.29 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 101.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 52.77% เทียบกับปีก่อน ส่วนผลประกอบการไตรมาส 4/2560 มีรายได้รวมอยู่ที่ 449.5 ล้านบาท เติบโต 55% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 290 ล้านบาท และมีกำไร
สำหรับงวดไตรมาส 4/2560 จำนวน 30.92 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้น 183% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากบริษัทฯ มีพื้นที่ให้บริการเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 75 จังหวัด และจากการที่ภาครัฐมีนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) และนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสังคม เป็นส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ของประเทศ และเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ทำให้สามารถผลักดันยอดขายจากลูกค้าที่เข้ามาใช้งานได้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถรักษาฐานลูกค้าในปีก่อนไว้ได้ เนื่องจากประสิทธิภาพของโครงข่าย และเสถียรภาพของการให้บริการที่เหนือกว่าคู่แข่งขันรายอื่นในตลาด ทำให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
สำหรับรายได้จากการให้บริการโครงข่ายในปี 2560 อยู่ที่ 517.28 ล้านบาท เติบโตสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 30.12% จากปี 2559 มีรายได้ 397.53 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายในปี 2560 เติบโตสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 39.27% หรืออยู่ที่ 479.76 ล้านบาท จากปี 2559 อยู่ที่ 344.49 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ที่ได้มอบหมายโครงการสำคัญ ได้แก่ งานให้บริการก่อสร้างและปรับปรุงโครงข่ายสัญญาณโทรคมนาคมของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายหนึ่ง โครงการงานจ้างสร้างและปรับเครือข่ายสายสัญญาณโทรคมนาคมของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ โครงการเน็ตประชารัฐ TOT ตามจังหวัดต่าง ๆ และโครงการอินเทอร์เน็ตชายขอบ ที่มีการรับรู้รายได้เข้ามาจำนวนมากถึง 295.25 ล้านบาท เป็นต้น ขณะที่รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งปีเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 24.76% เนื่องจากฐานลูกค้าที่ใช้งานปี 2560 มีมากถึง 95% ทำให้รายได้จากการให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ในปี 2560 อยู่ที่ 79.56 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 63.77 ล้านบาท และในแต่ละไตรมาสหลังจากนี้ จะมีแนวโน้มของรายได้ที่มั่นคง
“กำไรสุทธิในปีนี้เติบโตขึ้นกว่าปีก่อนอย่างมาก โดยกำไรจากการดำเนินงานทั้งปีโต 52.77% อยู่ที่ 101.78 ล้านบาท ซึ่งเทียบกับปี 2559 อยู่ที่ 67.24 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ทุกประเภท นอกจากนี้ อัตรากำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2559 คิดเป็น 9.46% เป็นผลมาจากบริษัทฯ มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้ดีขึ้น” นายณัฐนัย กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ประกาศจ่ายปันผลตามนโยบายที่ 40% ของกำไรบริษัท คิดเป็น 0.043 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้น XD วันที่ 10 พ.ค.2561 และจ่ายปันผลวันที่ 23 พ.ค. 2561 รวมทั้งมีแผนระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจในอนาคตผ่านใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) จำนวนหุ้นที่เพิ่มทุน 250,000,000 หุ้น ใช้ชื่อย่อใบสำคัญแสดงสิทธิ ITEL-W1 ในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ ในราคาแปลงสิทธิที่ 5 บาท กำหนดใช้สิทธิในระยะเวลา 3 ปี โดยจะนำเข้าพิจารณาในการประชุมสามัญประจำปีในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2561 และในอนาคตของบริษัทฯ มีแนวโน้มที่ดีจากโครงข่ายที่ครอบคลุมถึง 75 จังหวัด ทำให้โครงข่ายมีเสถียรภาพมากขึ้น และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้มากขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทฯ สามารถพิสูจน์ตนเองจนสร้างความน่าเชื่อถือกับลูกค้าได้ ทำให้บริษัทฯ มีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น ดังนั้น รายได้จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากปริมาณการใช้งานของลูกค้าเช่าวงจรสื่อสารความเร็วสูง ซึ่งบริษัทฯ เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคม และบริษัทเอกชนทั่วไป โดยปัจจุบันได้เพิ่มทีมงานทางด้านการขายเพื่อรองรับกับโอกาสทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และรองรับการใช้งานจากประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับธุรกิจ Data Center คาดว่า รายได้จะเติบโตจากปี 2560 อย่างมีนัยสำคัญปัจจุบันมีถึง 2 แห่ง โดยในแห่งแรกได้สร้างเสร็จ และให้บริการเต็มพื้นที่เรียบร้อยแล้ว และในส่วน Data Center แห่งที่ 2 ซึ่งเปิดให้บริการไตรมาส 1/2561 จะมียอดการเข้าใช้งานที่ 30% ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ และคาดหวังจะมีลูกค้าทยอยเข้ามาใช้บริการ 60% ในสิ้นปีนี้
ส่วนธุรกิจติดตั้งโครงข่าย บริษัทฯ จะยังคงบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการรับงานติดตั้งโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ และลูกค้ามีความมั่นใจในบริการของบริษัทฯ อยู่แล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมให้บริการ และเข้าร่วมประมูลงานขนาดใหญ่อื่น ๆ เช่น โครงการอินเทอร์เน็ต USO ของ กสทช. มูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท คาดว่าจะประมูลได้ในเดือนเมษายน 2561 ซึ่งจะแบ่งเป็น 5 สัญญา บริษัทฯ คาดหวังได้งาน 1 สัญญาในพื้นที่ภาคกลาง หรือภาคใต้ หรือประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท หรือไม่ต่ำกว่า 15% ของมูลค่ารวม
อย่างไรก็ตาม จากการบริหารจัดการที่ดี และการรุกการให้บริการในทุกธุรกิจ สนับสนุนให้ผลงานปีนี้มีการเติบโตสูงขึ้นตามแผนงานที่วางไว้ โดยปัจจุบันมีสัญญาในมือ (Backlog) อยู่แล้วทั้งสิ้น 2,454 ล้านบาท เป็นงานบริการโครงข่าย 1,847 ล้านบาท งานให้บริการติดตั้งโครงข่าย 437 ล้านบาท และงานให้บริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ 170 ล้านบาท สนับสนุนเป้าหมายทั้งปี 2561 ที่วางไว้จะมีรายได้เติบโต 30-40% จากปีก่อน โดยมีรายได้แตะ 1,400 ล้านบาท ขณะที่ให้ความสำคัญกับอัตรากำไรสุทธิที่ดีมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่วางไว้ อีกทั้งคาดการณ์ว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นในงานในการให้บริการโครงข่ายเพิ่มขึ้นแตะ 40% ได้ภายใน 5 ปี จากปัจจุบัน อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25.13% โดยจะใช้การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น