ตลาดหุ้นไทยในปีวอก 2559 เป็นอีกปีหนึ่งที่ต้องเจอกับมรสุมเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยการเมืองภายในประเทศซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของบริษัทจดทะเบียนไทยทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็กที่มีสัดส่วนรายได้มาจากการขายโดยเฉพาะการขายภายในประเทศ จะได้รับผลกระทบมากกว่าบริษัทฯ จดทะเบียนที่ขายต่างประเทศ ซึ่งจากปัญหาของเศรษฐกิจต่างประเทศ โดยเฉพะในฟากยุโรป และอเมริกา เช่น การประกาศแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ EU ของประเทศอังกฤษ และการคาดเดาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผิดคาด ชนิดหักปากกาเซียนหลังประกาศผลการนับคะแนนปรากฏว่า นายโดนัล จอห์น ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ชนะคะแนนนาง ฮิลลารี คลินตัน ผู้ท้าชิงจากตัวแทนพรรคเดโมแครต อย่างเหนือความคาดหมาย
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะบริษัทที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นสามัญครั้งแรกแก่ประชาชนทั่วไป หรือ IPO นั้น ในปีนี้น้อยกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ โดยมีบริษัทที่เข้าจดทะเบียนทั้งสิ้น (ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2559) จำนวน 27 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET จำนวน 10 หลักทรัพย์ และบริษัทที่จดทะเบียนใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 13 หลักทรัพย์ นอกจากนี้ ยังมีทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อีก 4 กองทรัสต์ โดยมีมูลค่าการระดมทุนจำนวน 52,781.08 ล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 157,766.41 ล้านบาท
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai กล่าวว่า จำนวนบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนเพื่อระดมทุนเสนอขายหุ้น IPOในปี 2559 นี้มีจำนวนทั้งสิ้น 13 บริษัท รวมมูลค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Capของหุ้น IPO ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 21,900 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเฉลี่ยที่วางไว้ที่ 18,000-20,000 ล้านบาท
“ในแต่ละปีจะมีบริษัทจดทะเบียนใหม่เข้ามาระดมทุนขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์ mai เฉลี่ยอยู่ที่ 13-15 บริษัท โดยมี Market Cap เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2560 ตลาดหลักทรัพย์ mai ตั้งเป้าในการนำบริษัทจดทะเบียนเข้าระดมทุนประมาณ 15 บริษัท และ Market Cap ไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มีบริษัทฯ ที่ได้ยื่นไฟลิ่งมาแล้ว และรออนุมัติจำนวน 5 บริษัท และที่อยู่ในระหว่างการทำข้อมูลไฟลิ่งเสนอ ก.ล.ต.อีก 10 บริษัท ซึ่งทั้งหมดจะเรียบร้อย และทำการซื้อขายหุ้นได้ในปี 2560 ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพในการเติบโต และเพิ่มทุนได้ตามเกณฑ์ในการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET นั้นอย่างน้อย 1-3 บริษัท แต่ทั้งนี้อยู่ที่ความสมัครใจและความพร้อมของบริษัทนั้นๆ”
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่ยื่นความจำนงเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ณ ปัจจุบันนี้อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 100 บริษัท แต่สามารถผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์เข้าระดมทุนได้เพียง 10-15 บริษัทเท่านั้น
โดยบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET บริษัทที่เข้าทำการซื้อขายเป็นบริษัทแรกของปี 2559 (สถิติข้อข้อมูลการซื้อขายล่าสุด ณ วันที่ 23ธันวาคม 2559) ได้แก่
บมจ.ทีพีบีไอ หรือ TPBI จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เข้าทำการซื้อขายวันแรกวันที่ 24 มีนาคม 2559 จำนวนหุ้นสามัญที่จดทะเบียนแล้วต่อ ตลท. จำนวน 400,000,000 จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย 100,000,000 หุ้น ราคาพาร์ที่ 1 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 10.80 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 14.60 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 12.70 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 19.20 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 46.30% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 6,320.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 16.57 เท่า
บมจ.เอแอลที เทเลคอม หรือ ALT จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 โดยมีทุนจดทะเบียนแล้วต่อ ตลท. จำนวน 500,000,000.00 บาท และมีหุ้นที่จดทะเบียนแล้วต่อ ตลท. จำนวน 1,000,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 4.70 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 8.50 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 5.95 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 9.30 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 87.23% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 8,800.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 35.41 เท่า
บมจ.เอกชัยการแพทย์ หรือ EKH จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจการแพทย์ เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 27 กรกฎาคม 2559 โดยมีทุนจดทะเบียนแล้วต่อ ตลท. จำนวน 300,000,000.00 บาท และมีหุ้นที่จดทะเบียนแล้วต่อ ตลท. จำนวน 600,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 3.05 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 7.20 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 5.00 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 7.55 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 129.51% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 4,200.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 57.18 เท่า
บมจ.โรงพยาบาลราชธานี หรือ RJH จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจการแพทย์ เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 1 กันยายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 300,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 300,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 1.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 16.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 22.00 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 18.00 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 26.75 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 65.63% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 7,950.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 55.42 เท่า
บมจ.บีซีพีจี หรือ BCPG จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 28 กันยายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 9,950,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 1,990,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 5.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 10.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 11.20 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 10.60 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 15.90 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 37.00 % มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 27,263.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 15.75 เท่า
บมจ.สหกลอิควิปเมนท์ หรือ SQ จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจบริการรับเหมาก่อสร้าง เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 26 ตุลาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 1,130,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 1,130,000,000หุ้น ในราคาพาร์ที่ 1.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 3.20 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 4.22 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 3.92 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.46 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 28.12 % มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 4,633.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 17.95 เท่า
บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ หรือ BPP จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 28 ตุลาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 30,456,920,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 3,045,692,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 10.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 21.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 24.92 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 24.00 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 29.25 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 15.17% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 74,010.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 17.96 เท่า
บมจ.ออลล่า หรือ ALLA จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 300,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 600,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 2.88 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 4.02 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 2.90 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.06 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 6.94% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 1,848.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 32.74 เท่า
บมจ.เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เล็ท หรือ FN จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจพาณิชย์ เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 500,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 1,000,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 3.88 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 5.15 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 5.10 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 7.35 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 85.57% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 7,200.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 52.90 เท่า
บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ หรือ TNR จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 300,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 300,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 1.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 16.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 27.00 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 25.00 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 28.25 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 67.19% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 8,025.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 34.14 เท่า
ขณะที่ในส่วนของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายมีจำนวน 4 กองทรัสต์คือ
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ หรือ GVREIT จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เข้าทำการซื้อขายครั้งแรกในวันที่ 4 เมษายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 8,148,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 814,800,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 10.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 10.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 13.00 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 13.00 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 16.40 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 45.00% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 11,814.60 ล้านบาท และอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 2.07%
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยแลนด์ ไพร์ม พร็อพเพอร์ตี้ หรือ TPRIME จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เข้าทำการซื้อขายครั้งแรกในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 5,475,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 547,500,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 10.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 10.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่14.00 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 12.40 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 14.10 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 32.00% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 7,227.00ล้านบาท
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช หรือ HREIT จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เข้าทำการซื้อขายครั้งแรกในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 5,693,600,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 569,360,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 10.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 10.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่1 0.10 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 9.95 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 10.20 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 1.00% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 5,750.54ล้านบาท
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา หรือ SRIPANWA จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เข้าทำการซื้อขายครั้งแรกในวันที่ 23 ธันวาคม 2559โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 3,156,799,874.40 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วกับ ตลท. จำนวน 279,064,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 11.3121 บาทต่อหุ้น และราคา IPOที่ 10.80 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 10.90 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 10.60 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 11.10 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 1.00% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 5,750.54 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทฯที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 13 หลักทรัพย์ ได้แก่
บมจ.เจตาแบค หรือ GTB จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 23 มีนาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 240,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 960,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.25 บาท/หุ้น และราคา IPO ที่ 1.15 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 2.04 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 0.90 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 2.18บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 3.48% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 1,142.40 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 21.48เท่า
บมจ.ชีวาทัย หรือ CHEWA จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 5 เมษายน2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 750,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 750,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 1.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 1.60 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 2.50 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1.19 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 2.60บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง -6.25% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 1,125.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 6.99 เท่า
บมจ.เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ หรือ ASN จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 65,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 130,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 6.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 9.10 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 5.15 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 9.50บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 20.83% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 942.50 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 30.64เท่า
บมจ.บางกอกชีทเม็ททัล หรือ BM จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 200,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 400,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 2.88 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 5.00 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 2.80 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.50บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 20.83% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 1,392.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 21.91เท่า
บมจ.เน็ตเบย์ หรือ NETBAY จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 16 มิถุนายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 200,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 200,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 1.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 4.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 8.50บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 8.30 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 16.80 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 295.00% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 3,160.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 39.69เท่า
บมจ.บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ หรือ BTW จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้าง เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 11 กรกฎาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 378,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 756,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 3.75 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 5.50บ าท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 2.70 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.90 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง -15.20% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 2,404.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 12.45เท่า
บมจ.บิสซิเนสอะไลเม้นท์ หรือ BIZ จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 28 กรกฎาคม2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 200,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 400,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 2.90 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 7.35 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 3.04 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 7.40บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 67.59% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 1,944.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 20.87เท่า
บมจ.เทคโนเมดิคัล หรือ TM จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 31 สิงหาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 140,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 280,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 3.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 4.80 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 3.14 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.25บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 43.33% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 1,204.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 33.61เท่า
บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม หรือ ITEL จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 14 กันยายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 500,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 500,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 1.00 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 5.00 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 7.50 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 7.00 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 11.70บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 103.85% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 5,300.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 76.15เท่า
บมจ.ซีลิค คอร์พ หรือ SELIC จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 18 ตุลาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 140,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 280,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 2.90 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 4.30 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 3.04 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 4.50บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 8.97% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 884.80 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 22.81เท่า
บมจ.โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ COMAN จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 67,000,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 134,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 7.80 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 14.00 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 8.55 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 14.40 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 21.79% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 1,273.00 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 46.38เท่า
บมจ.อาม่า มารีน หรือ AMA จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ประเภทธุรกิจ ขนส่งสินค้าเหลวทางเรือในต่างประเทศและขนส่งสินค้าเหลวทางรถในประเทศ เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 22 ธันวาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 215,800,000.00บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 431,600,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.50 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 9.99 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 15.90 บาท/หุ้น ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 15.00 บาท/หุ้น ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 16.30 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 55.16% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 6,689.80 ล้านบาท และอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นที่ 48.55เท่า
บมจ.อาฟเตอร์ ยู จำกัด หรือ AU จดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประเภทธุรกิจร้านขนมหวานและเบเกอร์รี่ภายใต้ชื่อ “อาฟเตอร์ ยู” เข้าทำการซื้อขายในวันที่ 23 ธันวาคม 2559 โดยมีทุนสามัญจดทะเบียนที่ชำระแล้วต่อ ตลท.จำนวน 72,500,000.00 บาท และมีหุ้นจดทะเบียนแล้วที่ชำระแล้วต่อ ตลท. จำนวน 725,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ที่ 0.10 บาท/หุ้น และราคา IPOที่ 4.50 บาท/หุ้น เมื่อเปิดทำการซื้อขายราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปที่ 15.90บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง 59.16% โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ ปัจจุบันที่ 1,745.30 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่ได้ขอเลื่อนการเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ออกไปยังปี 2560 ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ ลาดหลักทรัพย์ mai โดยบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้แก่
1.บมจ.อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) หรือ INGRS ประกอบธุรกิจประเภท Holding Company ลงทุนในบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ (Automotive Components Manufacturing) ในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายแบ่งเป็น หุ้นใหม่จำนวนไม่เกิน 261,562,500 หุ้น และหุ้นเดิมที่ถือโดย Ingress Corporation Berhad จำนวนไม่เกิน 316,880,400 หุ้น ในราคา PAR ที่ 1.00 บาท/หุ้น
2.บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP ประกอบธุรกิจประเภทโรงไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นผลิตไฟฟ้าจากขยะและพลังงานความร้อนทิ้ง และประกอบธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายแบ่งเป็น ไม่เกิน 2,500,000,000 หุ้น โดยเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ไม่เกิน 125,000,000 หุ้น และประชาชนและผู้ซื้อหลักทรัพย์เบื้องต้นในต่างประเทศ ไม่เกิน 2,375,000,000 หุ้น ในราคา PAR ที่ 1.00 บาท/หุ้น
3.บมจ.ชินเนอร์เจติค ออโต้ เพอร์ฟอร์มานซ์ หรือ ASAP ประกอบธุรกิจประเภทรถยนต์ให้เช่า ทั้งในระยะยาวแบบครบวงจร และแบบรถยนต์ให้เช่ารายวัน จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายแบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุน 105,000,000 หุ้น ในราคาPAR ที่ 1.00 บาท/หุ้น
4.บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ หรือ BGRIM ประกอบธุรกิจประเภทการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตและขายไฟฟ้า ไอน้ำ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายแบ่งเป็น หุ้นสามัญที่ออกใหม่จากการเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไปครั้งแรกไม่เกิน 810,000,000 หุ้น ในราคา PAR ที่ 2.00 บาท/หุ้น
5.บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล หรือ GGC ประกอบธุรกิจประเภทผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายแบ่งเป็น หุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 411,111,200 หุ้น (หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 246,666,700 หุ้น และหุ้นสามัญเดิม บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จำนวนไม่เกิน 164,444,500 หุ้น) ในราคา PAR ที่ 10.00 บาท/หุ้น
6.บมจ.โรงพยาบาลราชพฤกษ์ หรือ RPH ประกอบธุรกิจประเภทโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการในระดับทุติยภูมิ ภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลราชพฤกษ์” จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย หุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 163,780,000 หุ้น (คิดเป็นร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลัง เสนอขาย IPO) โดยเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป 155,780,000 หุ้น และกรรมการ ผู้บริหารของบริษัท 8,000,000 หุ้น ในราคาPAR ที่ 1.00 บาท/หุ้น
7.บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ประกอบธุรกิจประเภทโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลธนบุรี 1 และ 2” จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย หุ้นสามัญเพิ่มทุน ไม่เกิน 85,000,000 หุ้น (คิดเป็นร้อยละ 10.01 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลัง เสนอขาย IPO) ในราคาPAR ที่ 1.00 บาท/หุ้น
8.บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ หรือ WHAUP ประกอบธุรกิจประเภท ธุรกิจสาธารณูปโภค โดยผลิตและจำหน่ายน้ำดิบ น้ำเพื่ออุตสาหกรรม และบริหารจัดการน้ำเสีย ให้แก่ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมและเขตประกอบการอุตสาหกรรม และธุรกิจพลังงาน โดยลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวนหุ้นIPO ที่เสนอขาย ไม่เกิน 229,500,000 หุ้น (หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ไม่เกิน 125,000,000 หุ้น หุ้นสามัญเดิมโดย H-International (SG) Pte. Ltd. ไม่เกิน 104,500,000 หุ้น) ในราคา PAR ที่ 5.00 บาท/หุ้น
ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่ได้ขอเลื่อนการเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ออกไปได้แก่
1.บมจ.เดนทัล คอร์ปอเรชั่น หรือ D ประกอบธุรกิจประเภทให้บริการด้านทันตกรรม คลินิกทันตกรรม ภายใต้แบรนด์ สไมล์ ซิกเนเจอร์, เดนทัล ซิกเนเจอร์ และบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล เดนทัล เซ็นเตอร์ (BIDC) จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย 50,000,000 หุ้น ในราคาPAR ที่ 0.50 บาท/หุ้น
2.บมจ.บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง หรือETE ประกอบธุรกิจ 3 ประเภท ได้แก่ 1.งานบริหารจัดการบุคลากร ในรูปแบบ Outsourcing (Management Service) 2.บริการงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้า และระบบโทรคมนาคม (Engineering Service) 3.ธุรกิจพลังงานทดแทนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย140,000,000 หุ้น ในราคา PAR ที่ 0.50 บาท/หุ้น
3.บมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย) หรือ MGT ประกอบธุรกิจประเภทการจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย 100,000,000 หุ้น ราคาPAR ที่ 0.50 บาท/หุ้น
4.บมจ.มัดแมน หรือ MM ประกอบธุรกิจประเภท ถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ดำเนินธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็นธุรกิจหลัก และธุรกิจไลฟ์สไตล์ จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย 210,980,750 หุ้น ราคาPAR ที่ 1.00 บาท/หุ้น
5.บมจ. สยามอีสต์ โซลูชั่น หรือ SE ประกอบธุรกิจประเภท จำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมประเภทปั๊มสูบส่งน้ำและของเหลว อุปกรณ์ในกระบวนการผลิต ระบบท่อและวัสดุสิ้นเปลืองในกระบวนการผลิตและงานซ่อมบำรุง และให้บริการงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการให้บริการเคลือบพื้นผิวและตัดเย็บฉนวนหุ้ม จำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขาย 60,000,000 หุ้น ราคา PAR ที่ 0.50 บาท/หุ้น
ทั้งนี้ นายประพันธ์ เจริญประวัติ ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงแผนงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ Start up คือ โดยได้มีการสร้างแพลตฟอร์มเฉพาะในการเชื่อมโยงโครงสร้างผู้ประกอบการรายย่อยที่กระจัดกระจายต่างเข้ามารวมเป็นศูนย์กลางในชื่อ www.news.set.or.th ให้ผู้ประกอบการต่างๆ สามารถเข้าถึงแหล่งทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนได้อย่างสะดวก และง่ายดายมากยิ่งขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยในไตรมาสที่ 4/2559 และจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ในปี 2560 ส่วนอีกหนึ่งโครงการที่อยู่ในช่วงของการศึกษา และรวบรวมข้อมูลอยู่คือ “new trading platform” ที่มีการสร้างขึ้นมาเพื่อให้ Start up สามารถเข้ามาระดมทุนขั้นต้น ทั้งในตัว Start up เอง หรือ Venture Capital สามารถเข้ามานำเสนอข้อมูลเพื่อหาผู้สนับสนุน โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับ Over The Counter (OTC) หรือการซื้อขายกันเองโดยตรงสำหรับ Start up โดยเฉพาะ ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงของการวางแนวทาง และรูปแบบการเทรด โดยคาดว่าจะสามารถเปิดทำการได้ในครึ่งหลังปี 2560