“อุดมเดช” ประธานเปิดหลักสูตร วปอ.รุ่น 59 แจงความมั่นคงของชาติ มีทั้งเรื่องการทหาร การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ ข้อมูลข่าวสารไซเบอร์ ชี้ความมั่นคงระหว่างประเทศ มีความสำคัญต้องวางน้ำหนักกับมิตรประเทศให้เหมาะสมเกื้อกูลกัน เชื่อประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐฯ ไม่น่าตกใจ บอกจากการติดตามมีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกที่สุขุมรอบคอบมากขึ้น
ที่สถาบันป้องกันประเทศ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) วันนี้ (10 พ.ย.) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้แทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 59 โดยมีนักศึกษาในรุ่น 281 คน เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง
พล.อ.อุดมเดชกล่าวเปิดหลักสูตรว่า นักศึกษา วปอ.ทุกคนเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญๆ จากหลากหลายอาชีพ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งจากมิตรประเทศอื่นๆ ที่จะมีส่วนในการสร้างอนาคตให้แก่ประเทศไทย ทุกคนจะได้รับความรู้และประโยชน์จากการเรียน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน รวมทั้งจากด้านอื่นๆ นอกจากนี้ นักศึกษาทุกคนจะต้องจัดทำยุทธศาสตร์ชาติในการจบการศึกษา หวังว่ายุทธศาสตร์ชาติที่จะต้องจัดทำนั้นจะตรงกับสถานการณ์จริงของประเทศ สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล และสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้
จากนั้น พล.อ.อุดมเดชบรรยายพิเศษหัวข้อ “บทบาทภาครัฐ เอกชน การเมือง ในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ” ตอนหนึ่งว่า อยากให้ทุกท่านทราบว่าความมั่นคงของชาติ ตามความหมายทั่วไปแปลว่าการที่ชาติใดชาติหนึ่งสามารถเดินไปด้วยความเรียบร้อย ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีความปลอดภัย และมีความพึงพอใจดำรงชีพ จนสามารถอยู่ได้อย่างมีเกียรติศักดิ์ศรี ทั้งนี้คิดว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก และเป็นความท้าทายทุกประเทศที่กำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนให้นำไปสู่การปฏิบัติที่มีผลสัมฤทธิ์ได้แท้จริง ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถกำหนดนโยบายที่ต่อเนื่องเพื่อให้รัฐบาลในอนาคตดำเนินการต่อไปได้
“คำว่าความมั่นคงของชาติ โดยหลักการมีความหมายหลายมิติ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการทหารเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเมือง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงข้อมูลข่าวสารไซเบอร์ โดยปัจจัยความมั่นคงแห่งชาติ เรื่องหลัก ตนคิดว่าเป็นเรื่องการเมือง อันประกอบด้วย ความมั่นคงการเมืองภายในประเทศ และความมั่นคงการเมืองระหว่างประเทศ”
พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า สำหรับความมั่นคงการเมืองภายในประเทศนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งที่สามารถทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ อย่างเช่นที่ผ่านมาเพราะรัฐบาลชุดเดิมมีปัญหาบริหารประเทศไม่ได้ และไม่สามารถดูแลความสงบเรียบร้อยในประเทศได้ จนเกิดความสูญเสียชีวิตทรัพย์สินของประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง ดังนั้น รัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา เราได้รับความร่วมมือทุกภาคส่วน ร่วมกันขับเคลื่อนก้าวพ้นวิกฤตต่างๆ นำไปสู่การปฏิรูปประเทศได้
ส่วนความมั่นคงของการเมืองระหว่างประเทศนั้น มีผลกระทบต่อการเมืองภายในประเทศ ถ้าดำเนินนโยบายไม่ถูกต้อง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือจะต้องวางน้ำหนักกับมิตรประเทศให้อย่างเหมาะสมเกื้อกูลกัน ถ้าทำเช่นนั้นได้จะส่งผลต่อความมั่นคงในประเทศ และส่งผลต่อความมั่นคงทั้งในระดับภูมิภาค ระดับโลก
“การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมานั้น หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะกระทบไทย เพราะเห็นภาพผู้นำคนใหม่ที่น่าตกใจ แต่ผมขอบอกว่าอย่าตกใจไป ถ้าติดตามการเลือกตั้งจะเห็นว่าผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงบุคคลิกที่มีความสุขุม รอบคอบมากขึ้น ซึ่งตามความคิดเห็นผมดูแล้วไม่น่าวิตกใดๆ เลย เพราะฉะนั้นการเมืองระหว่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าการปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ของชาติมหาอำนาจจะมีความเกี่ยวพันกันมากพอสมควรกับความมั่นคงในชาติเรา ส่วนนโยบายของสหรัฐคนใหม่จะเป็นอย่างไรเราก็ต้องติดตามกันต่อไป”
พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ประการถัดมาความมั่นคงด้านเศรษฐกิจจะเกี่ยวข้องกับการกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยเรื่องนี้ภาคเอกชนจะมีบทบาทสำคัญที่จะต้องดำเนินการ ขณะนี้รัฐบาลชุดนี้พยายามผลักดันโครงการต่างๆ เกี่ยวกับการค้าขายให้ประชาชนมีงานมีเงิน พร้อมทั้งจัดทำโครงการพื้นฐานต่างๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุน อันนำไปสู่รายรับมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตนอยากยกตัวอย่างในภาคเศรษฐกิจที่ไปเกี่ยวข้องกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ซึ่งคณะ คปต.ส่วนหน้า ทั้ง 13 คน ที่มีตนเป็นประธานนั้นมีภารกิจพลักดันอะไรต่างๆ ทุกๆ เรื่อง เช่น ความปลอดภัยในพื้นที่ เศรษฐกิจ และการลงทุน โดยสิ่งที่เราจะผลักดันคือโครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน ในพื้นที่ จชต. เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรง โดยใช้ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจเข้าไปพัฒนา และสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินควบคู่กันไป
ขณะที่ด้านสังคมจิตวิทยานั้นจะเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ต้องได้รับความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ปราศความตื่นตัวความกังวล และต้องได้รับความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากมาย ทั้งการศึกษา สาธารณสุข ระบบกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ฯลฯ เพราะฉะนั้นเรื่องเหล่านี้รัฐบาลพยายามจะยกระดับให้ดีขึ้นทุกๆ ด้าน
ส่วนด้านยุทธศาสตร์เทคโนโลยีก็เชื่อมโยงกับความมั่นคง โดยรัฐบาลพยายามพัฒนาการพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆ ขณะที่ด้านพลังงานเป็นเรื่องที่กำหนดให้มีความเพียงพอ และเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเรามีการวางแผนให้เหมาะสมกับยุคสมัย และด้านทรัพยากร ธรรมชาติถ้าไม่คำนึงเรื่องนี้จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติ และกระทบต่อความมั่นคงในชีวิตในที่สุด ทั้งนี้ตนอยากความเข้าใจกับภาคเอกชน ภาคพลเรือนว่า ในรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาได้กำหนดให้ทหารมีไว้พัฒนาประเทศ นอกเหนือจากหน้าที่ด้านความมั่นคงแล้ว เรายังมีส่วนสำคัญโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลได้จัดทำอีกด้วย
“ในห้วงสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่จะไปกระทบความมั่นคง เราต้องติดตามปัญหาให้ทันท่วงที โดยภาครัฐ และส่วนที่เกี่ยวข้องถ้าไม่ช่วยกันดูแลแล้วก็จะเกิดความสับสน ความไม่เข้าใจ และเกิดความวุ่นวายจากข่าวที่บิดเบือน สุดท้ายจะส่งผลกระทบความมั่นคงได้ในที่สุด ทั้งนี้จากการติดตามข้อมูลข่าวสารด้านไซเบอร์ ในส่วนของกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และทุกเหล่าทัพ ได้จัดตั้งศูนย์ไซเบอร์ให้เชื่อมโยงกันในระบบ เพื่อติดตามแก้ไขปัญหาต่างๆ ของข้อมูลข่าวสาร”
รมช.กลาโหมกล่าวต่อว่า จากสิ่งที่ตนกล่าวไปเป็นเพียงพื้นฐานความมั่นคง โดยสรุปตนอยากเห็นว่าความมั่นคงจะต้องถูกขับเคลื่อนในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้จากทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาชนจะต้องเกื้อหนุนดูแลในมิติต่างๆ ที่กล่าวไป เพื่อทำให้เห็นว่าถ้าเกิดความมั่นคงอย่างแท้จริง ก็จะทำให้ประเทศชาติสามารถก้าวหน้าเดินต่อไปได้