เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ ครึ่งแรกปี 59 กำไรโตกว่า 188% หลังธุรกิจเหล็กฟื้นตัว ในขณะที่ธุรกิจพลังงานโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่น รับรู้รายได้เพิ่มขึ้น “อนาวิล จิรธรรมศิริ” มั่นใจปี 59 CHOW ยังเติบโตได้ดีทั้งจากธุรกิจเหล็ก และธุรกิจพลังงานที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง กำลังการผลิตรวมกว่า 80 เมกะวัตต์ จากปี 58 ขายไฟได้เพียง 8.92 เมกะวัตต์
นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และธุรกิจพลังงาน ประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งใน และต่างประเทศ เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 51.07 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.06 บาท เพิ่มขึ้น 33.34 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.04 บาท คิดเป็นร้อยละ 188.04 เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิรวม 17.73 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.02 บาท
สำหรับผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นมาจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 จำนวน 1,852.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186.83 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.22 เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีรายได้รวมจำนวน 1,665.66 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการจำหน่ายเหล็กเพิ่มขึ้น 42.80 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.84 เนื่องจากมีการนำเข้าเหล็กลดลงตามมาตรการของรัฐบาล ทำให้ราคาสินค้าเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และบริษัทสามารถขายสินค้าได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทย่อยได้รับรู้รายได้ จำนวน 820.83 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าในต่างประเทศ จำนวน 5 โครงการ และในประเทศ 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 16.76 เมกะวัตต์ และรายได้จากการพัฒนาโครงการ จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 12 เมกะวัตต์ และรายได้จากการก่อสร้างโครงการตามอัตราส่วนงานที่ทำเสร็จ จำนวน 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 27.22 เมกะวัตต์ ในขณะที่ต้นทุนขาย และบริการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของรายได้ โดยต้นทุนขาย และต้นทุนบริการรวมสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2559 มีจำนวน 1,565.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161.92 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.53 เมื่อเทียบกับปีก่อน สัมพันธ์กับปริมาณการจำหน่ายเหล็กที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ต้องการใช้เหล็กแท่งเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทย่อยได้รับรู้ต้นทุนขายไฟฟ้า การพัฒนาโครงการ และการก่อสร้างโครงการ จำนวน 684.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.52 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.32 เมื่อเทียบกับปีก่อน สัมพันธ์กับรายได้จากการขายไฟฟ้า และรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้น
นายอนาวิล กล่าวต่อถึงแนวโน้มของธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า ยังมีทิศทางที่ดี ทั้งธุรกิจเหล็กต้นน้ำที่ผู้ประกอบการยังหันมาใช้เหล็กในประเทศแทนการนำเข้าเพิ่มขึ้น และธุรกิจพลังงานที่จะเห็นการรับรู้รายได้เพิ่มในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ได้ลงทุนไปแล้ว 2558 ที่ผ่านมา และโครงการก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง
“ปีนี้อุตสาหกรรมเหล็กแท่งยาว หรือ Steel Billet ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี จากการใช้มาตรฐาน มอก.เข้ามาควบคุมคุณภาพเหล็กนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เหล็กคุณภาพต่ำเข้ามาในตลาดไทยได้ยากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศเริ่มหันมาสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในประเทศแทนการนำเข้า
โดยพบว่า CHOW มีคำสั่งซื้อสินค้าเหล็กต้นน้ำเข้ามาหนาแน่นขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะสนับสนุนให้ธุรกิจเหล็กฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับในปีนี้จะรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานเข้ามาเพิ่ม จากโครงการที่พร้อมขายไฟในปี 2558 และจากโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าไม่ต่ำกว่า 80 เมกะวัตต์ ดังนั้น จะสะท้อนให้ผลประกอบการของ CHOW ในปีนี้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ตามแผนงานที่ได้วางไว้” นายอนาวิล กล่าว