หากนับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา “ทองคำ” น่าจะได้รับตำแหน่งดังกล่าวด้วยผลตอบแทนกว่า 20% แม้ก่อนหน้านี้ จะถูกเทขายที่ระดับใกล้เคียง 1,300 เหรียญ จากการคาดการณ์เรื่องแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่ล่าสุด ทองคำได้กลับมายืนเหนือระดับ 1,270 เหรียญอีกครั้ง เหตุผลเพราะเฟดอาจจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันพุธนี้ (15 มิถุนายน) และอาจจะไปขึ้นดอกเบี้ยอีกทีก็เดือนกันยายนด้วยซ้ำ
เหตุผลหนึ่งที่กดดันเฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย นอกจากเรื่องของสถานการณ์แรงงานแล้ว ยังมีเรื่องของการแยกตัวออกจากประชาคมยุโรปของสหราชอาณาจักร หรือ Brexit ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน เนื่องจากเสียงของชาวสหราชอาณาจักรที่ต้องการจะออกจากอียูมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคะแนนสูสีกับผู้ที่ต้องการให้อยู่ต่อ ประเด็นนี้ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงิน โดยเฉพาะค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงอย่างหนัก
เฟด มองว่าหากขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ และสหราชอาณาจักรต้องออกจากอียู อาจเกิดความปั่นป่วนในตลาดการเงินทั่วโลกจึงต้องชะลอการขึ้นดอกเบี้ยไว้ก่อน
ในตอนนี้ ประเทศในสหภาพยุโรปที่มีกำลังเศรษฐกิจที่พอจะพยุงประเทศในยุโรปไว้ได้มีเพียงแค่อังกฤษ กับเยอรมนีเท่านั้น ถ้าหากอังกฤษ (เป็นประเทศหลักในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับสกอตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ) ออกจากอียูไปอีก เยอรมนี ต้องรับภาระหนักแต่เพียงผู้เดียวซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินยูโรอย่างแน่นอน
ล่าสุด ค่าเงินเยนแข็งค่าสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนที่ติดลบ เนื่องจากนักลงทุนมองเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และโยกเงินออกจากตลาดหุ้นมาลงทุนแทน
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีนักลงทุนระดับโลกอย่าง “จอร์จ โซรอส” ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุด ว่า เขากำลังจะกลับมาบริหารกองทุนของเขาอย่างเต็มเวลาอีกครั้ง เนื่องจากมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจ และการเงินโลกตอนนี้กำลังผันผวนหนัก นอกจากนี้ เขายังถอนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ออก และหันมาลงทุนในทองคำ รวมถึงหุ้นเหมืองทองคำแทน เพราะมองว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ทองคำ จะสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุด
นอกจากนี้ ความเสี่ยงเรื่องของหนี้สินภาคเอกชนของจีนที่อาจจะระเบิดขึ้นก็เป็นได้ ไอเอ็มเอฟ ยังออกมาเตือนด้วยว่า มูลหนี้ที่อาจสร้างความเสียหายอาจมีมูลค่าถึง 7% ของจีดีพีจีนเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีตราสารทางการเงินที่อยู่ในภาคธนาคารนอกระบบของจีนอีกจำนวนมาก
เช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์จากหลากหลายสำนักอย่างเช่น เอสเอชบีซี มองว่า ราคาทองคำจะผ่านทะลุ 1,308 เหรียญต่ออนซ์ได้ไม่ยากในเวลาสั้นนี้ ขณะที่มีการสำรวจพบว่า กองทุนประเภทอีทีเอฟยังคงเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้กว่า 12 ล้านออนซ์ รวมแล้วมียอดการถือครองกว่า 52 ล้านออนซ์ โดยกองทุน SPDR เป็นฝ่ายที่เข้าซื้อมากที่สุด
ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ ทองคำ น่าจะเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในระยะสั้น หรืออาจจะตลอดทั้งปีนี้ ใครที่ยังไม่มีทองคำในพอร์ตลองหาจังหวะเวลาเหมาะสมดูนะครับ
นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง