สัปดาห์ที่แล้วคนฝากเงินโดยเฉพาะกับธนาคารทหารไทย ใจหายใจคว่ำกันเลยทีเดียว เพราะจู่ๆ ก็ประกาศให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์กลายเป็น 0% (ฝากไว้ก็ไม่ได้ดอกเบี้ยอะไร) ก่อนที่จะปรับมาใช้อัตราดอกเบี้ยเดิมที่ 0.125%
กรณีดังกล่าวนี้ ต้องยอมรับว่าคนไทยยังมีความรู้ด้านการเงินน้อยมากทำให้เกิดเสียงตอบรับด้านลบที่รุนแรง ชวนให้คิดไปว่า คนไทยส่วนมากยังนำเงินเก็บไว้ในเงินฝากออมทรัพย์ แต่เอาเข้าจริงแล้วนั่นไม่ถือว่าเป็นการทำให้เงินพอกพูนด้วยซ้ำ แม้แต่การฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำ เพราะอย่าลืมว่า อัตราเงินเฟ้อทีระดับเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีของไทยที่ 3% ยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอยู่มาก ฝากไว้นานแค่ไหนก็ไม่ทำให้เงินมีมูลค่ามากขึ้น
ถึงตอนนี้ สำหรับผู้ที่ยังมีเงินเก็บส่วนใหญ่อยู่ในบัญชีธนาคาร ต้องทำใจแล้วว่าต้องทนอยู่ต่อสภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำแบบนี้ต่อไปอีกพักใหญ่ เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เป็นตัวชี้นำของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลก ทำท่าจะยังขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้ตามที่คิดเสียแล้ว เพราะเศรษฐกิจยังไม่สู้ดี ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรวมถึงไทยก็ยากที่จะขึ้นดอกเบี้ย (เผลอๆ อาจต้องลดลงอีกด้วยซ้ำ)
มีคำถามต่อมาว่า แบบนี้เราย้ายเงินไปอยู่ในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงๆ ดีไหม อย่างเช่น ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย ฯลฯ แนะนำว่าให้ไปศึกษาอัตราเงินเฟ้อของประเทศเหล่านี้ด้วยครับส่วนมากอยู่ระดับเกิน 5% ขึ้นไปทั้งนั้น หักลบส่วนต่างแล้วผลตอบแทนที่ได้ไม่ต่างอะไรกับฝากเงินในไทยอยู่ดี อย่าลืมว่าจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องของค่าธรรมเนียม อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ ฯลฯ เผลอๆ อาจขาดทุนด้วย!!!
ประเทศไทย เคยดำเนินเป็นแบบประเทศพวกนี้มาก่อนครับ ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังพัฒนา เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูง ดอกเบี้ยก็ต้องสูงตามขึ้นไปด้วย สังเกตประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างในสหรัฐฯ และยุโรป ดอกเบี้ยเขาอยู่ในระดับต่ำ และเงินเฟ้อก็สามารถควบคุมได้
แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรกันต่อกับเงินที่เรามี? ผมอยากให้มองไปที่ผลิตภัณฑ์การลงทุนซึ่งต่างไปจากผลิตภัณฑ์การออม ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ฯลฯ ในบรรดาสิ่งที่กล่าวไปนั้นยกเว้นพันธบัตร ทุกสิ่งสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อได้ทั้งหมด
ประเทศที่พัฒนาทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ประชาชนของเขาแทบจะไม่มีใครนำเงินมากองไว้ในบัญชีเงินฝากธนาคารกันแล้ว อาจจะมีประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งดอกเบี้ยเขา 0% มาเป็น 10 ปีแล้ว) ที่อัตราการออมเงินในธนาคารยังสูงเพราะคนญี่ปุ่นยังผวาต่อตลาดหุ้นที่พังทลายในช่วง 10 กว่าปีก่อน แต่เขาก็มีทางเลือกในการลงทุนผ่านประกันชีวิตในระดับสูง (คนไทยก็ยังซื้อประกันชีวิตในสัดส่วนที่ต่ำอยู่)
ส่วนตัวผมมองว่า ตลาดหุ้นเป็นแหล่งการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับคนในยุคนี้ แน่นอนว่าคนอาจมองมีความเสี่ยง แต่เอาเข้าจริงแล้วแม้แต่การฝากเงินในธนาคารก็มีความเสี่ยง (กรณีดอกเบี้ย 0% นี่ก็ใช่) แน่นอนธนาคารอาจจะไม่ถึงกับเจ๊ง แต่ก็จะคุ้มครองเงินฝากแค่ 1 ล้านบาทต่อบัญชีแล้ว ในอีกไม่นาน
คนที่พยายามหนีความเสี่ยงนี่แหละมีความเสี่ยงมากที่สุด แต่สิ่งสำคัญคือต้องอยู่กับความเสี่ยงให้เป็นมากกว่า ตอนหน้าเรามาติดตามต่อว่าทำไมถึงต้องลงทุนในตลาดหุ้น
นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง