xs
xsm
sm
md
lg

กลยุทธ์เฮดจ์ฟันด์ทำกำไรจาก “น้ำมัน” ได้ถึง 15-30%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปีที่แล้วถือเป็นที่ที่ราคาน้ำมันร่วงมาอย่างหนักจากระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล ลงมาถึงระดับ 35-40 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้นักลงทุนสถาบันทั่วโลกขาดทุนจากการเก็งกำไรในน้ำมันอย่างหนัก แต่ก็มีเฮดจ์ฟันด์บางกองที่สามารถทำกำไรได้ถึง 15-30% จากการ Short น้ำมัน

โดยกองทุนขนาดใหญของยุโรป Lansdowne Partners ซึ่งมีขนาดกองทุน 22,000 ล้านเหรียญ สามารถทำกำไรได้ 14.8% จากการ Short ในน้ำมัน และ Long ในตลาดหุ้น ขณะที่กองทุน Brenham Capital Management ในสหรัฐอเมริกา สามารถทำกำไรจากการ Short หุ้นกลุ่มพลังงานขนาดกลา งขนาดเล็ก ทำกำไรได้ถึง 24% ขณะที่เทรดเดอร์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์หลายรายในตลาดสามารถทำกำไรได้ถึง 30% จากการ Short Position น้ำมัน

ขณะเดียวกัน กองทุนเหล่านี้ยังเข้าไปเปิด Long Position ในหุ้นกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง ทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น และยังได้ Short ในหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทนอย่าง Shale Oil เนื่องจากระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรงจะทำให้ผู้ผลิตน้ำมันอยู่รอดได้ยาก
นเรศ เหล่าพรรณราย
เฮดจ์ฟันด์ และเทรดเดอร์ที่สามารถทำกำไรจากราคาน้ำมันขาลงได้ในปีที่ผ่านมา มีมุมมองที่คล้ายกันคือ ซัปพลายส่วนเกินของผู้ผลิตน้ำมันจะเป็นปัจจัยที่กดดันราคาน้ำมัน แต่การปรับตัวลงในปีที่ผ่านมาถือว่าเกินกว่าความคาดหมาย อีกทั้งยังมองว่าราคาน้ำมันน่าจะยังลงได้ต่อในไตรมาสแรกของปีนี้มาอยู่ที่ระดับ 25 เหรียญต่อบาร์เรล

เห็นได้ว่ากลยุทธ์ที่เฮดจ์ฟันด์เหล่านี้ใช้ในการทำกำไรจากราคาน้ำมันได้อย่างมหาศาลคือ การทำ Arbitage ด้วยการเปิดสถานะ Short ในสินทรัพย์ที่คาดว่าจะปรับตัวลง และทำการเปิดสถานะ Long ในสินทรัพย์ที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้น ซึ่งการทำ Arbitage ถือเป็นกลยุทธ์ขั้นพื้นฐานของเฮดจ์ฟันด์เลยก็ว่าได้

หลายคนอาจจะมองว่าเฮดจ์ฟันด์จะต้องใช้กลยุทธ์ลงทุนที่เน้นความเสี่ยงสูง แต่จริงแล้วแนวทางลงทุนของกองทุนเหล่านี้จะเน้นไปที่การคุมความเสี่ยงให้ต่ำที่สุดมากกว่า ตรงข้ามกับนักลงทุนบุคคลที่พยายามจะเทรดให้ได้ผลตอบแทนสูงที่สุดจึงต้องเน้นความเสี่ยงให้มากที่สุด

นอกจากนี้ เฮดจ์ฟันด์ยังลงทุนโดยใช้ปัจจัยของเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลักทำให้มองเห็นว่าสินทรัพย์ต่างๆ จะมีความเคลื่อนไหวในทิศทางใด จากนั้นถึงจะมองลึกแบบ Bottom Up ว่าจะลงทุนในหุ้น หรือสินทรัพย์ใด ที่สำคัญคือ การฉกฉวยโอกาสจากความผันผวนของตลาดนำมาสร้างผลกำไร

สำหรับนักลงทุนรายย่อยอาจจะไม่สามารถใช้กลยุทธ์ลงทุนสไตล์เฮดจ์ฟันด์ได้ทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้คือ การมองไปที่ “ความเสี่ยง” มากกว่า “ผลตอบแทน” เพราะการควบคุมความเสี่ยงที่ดีจะนำไปสู่การสร้างผลตอบแทนต่อไป ขณะที่การตั้งเป้าหมายที่ผลตอบแทนเป็นอันดับแรกจะทำให้ละเลยในการคุมความเสี่ยง และเกิดความเสียหายในที่สุด ลองนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้กับกลยุทธ์การเทรดดูนะครับ

นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง


กำลังโหลดความคิดเห็น