ตอนนี้ประเด็นเรื่องราคายางพาราที่ตกต่ำกำลังเป็นวาระแห่งชาติเลยทีเดียว แต่จริงแล้วเรื่องของราคายางถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมืองมานานแล้ว โดยมักจะยกมาข่มกันว่ารัฐบาลชุดนั้นชุดนั้นชุดนี้ทำให้ราคายางสูง รายได้เกษตรกรดี แต่ไม่ค่อยเห็นคนออกมาวิเคราะห์กันว่าทำไมราคายางถึงตกต่ำจากเศรษฐกิจโลกกันเลย
ช่วงที่ราคายางพาราขึ้นไปแตะระดับ 120 บาทต่อกิโลกรัม ช่วงนั้นถือเป็นช่วงขาขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์พอดี ขณะที่ตอนนี้ราคาน้ำมันกำลังลงมาแตะตัวเลข 30 เหรียญต่อบาร์เรล และเป็นช่วงขาลงของสินค้าโภคภัณฑ์ ต่อให้ภาครัฐออกนโยบายมาอุดหนุนราคาอย่างมากก็ดึงราคาขึ้นมาได้เล็กน้อยเท่านั้น คงไม่สามารถดันให้ราคากลับเป็นขาขึ้นได้
ถ้าวิเคราะห์กันดีๆ แล้ว ผมมองว่ายากที่ราคายางจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้ในไม่กี่ปีข้างหน้า เริ่มจากฝั่งดีมานด์ก่อน แน่นอนว่าเศรษฐกิจจีนทรุดหนักแบบนี้ยากที่จะมีความต้องการนำเข้ายางพาราจากไทย และมาเลเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก แถมเศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ดี โอกาสที่จะมีความต้องการยางพาราจึงมีไม่มาก แม้จะมีความพยายามที่จะนำยางพารามาผสมกับยางมะตอยในการสร้างถนน แต่ผมมองว่าจะเป็นการเพิ่มดีมานด์ได้ในช่วงระยะเวลหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถทำให้ราคากลับมาสูงขึ้นได้มากนัก
ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ฝั่งซัปพลาย เพราะช่วงที่ราคายางพาราปรับตัวขึ้นสูงต่างแห่กันหันมาปลูกสวนยางกันจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่เวียดนามก็หันมาพัฒนาสวนยางกับเขาด้วย ทำให้ตอนนี้แหล่งผลิตยางมีมากเกินกว่าความต้องการ ส่วนผู้ที่ปลูกยางมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตายายก็คงไม่สามารถขายสวนยางไปทำอย่างอื่นได้ ก็ต้องปลูกยางกันต่อไปแม้ว่าราคาจะไม่ดี
ถ้าราคายางยังตกต่ำแบบนี้ โอกาสที่กำลังซื้อของประชาชนจะกลับมาก็คงยาก เพราะประชากรชาวสวนยางถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ของภาคใต้ แน่นอนว่านอกเหนือจากหุ้นกลุ่มยางพารา ทั้ง TRUBB และ STA คงจะเป็นขาลงไปอีกพอสมควร ตลาดหุ้นในภาพรวมโดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศก็จะได้ผลกระทบไปด้วย
จะว่าไปแล้ว การปลูกสวนยางพารา สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการลงทุนหุ้นได้เช่นกัน โดยมองเป็นการลงทุนแนววีไอ ลองนึกภาพตามนะครับ การที่เราปลูกสวนยางพาราอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการปลูก จากนั้นเมื่อต้นยางเติบโตได้ที่ก็จะผลิตน้ำยางออกมาประมาณ 15 ปี ให้เกษตรกรได้เก็บเกี่ยว ถ้าเป็นกิจการก็คือ การรับเงินปันผลอย่างต่อเนื่องนั่นเองครับ จะได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับราคายางในปีนั้นว่าดีหรือไม่ แต่ก็ถือว่ามีรายได้ต่อเนื่องทุกปี
เมื่อต้นยางเริ่มหมดอายุ เราสามารถตัดต้นยางนำส่วนของไม้ไปขายต่อ เช่น นำไปทำเฟอร์นินเจอร์ก็ได้ เหมือนกับการที่นักลงทุนได้รับเงินปันผลอย่างต่อเนื่องจนพอใจก็ทำการขายหุ้นออกไปได้รับกำไรจาก Capital Gain หามองภาพระยะยาวก็ถือว่าคุ้มค่า ผมจึงอยากเปรียบเทียบชาวสวนยางพาราว่ามีแนวคิดคล้ายๆ กับนักลงทุนแนววีไอ ส่วนนักเก็งกำไรอาจจะอึดอัดเพราะยากที่จะทำกำไรแค่ระยะสั้นๆ
เร็วๆ นี้ตลาดอนุพันธ์จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เราสามารถเทรดยางแผ่นรมควันชั้นสาม (RSS3) ในตลาด TFEX ได้ แต่เมื่อราคายางยังตกต่ำแบบนี้ และไม่มีเทรนด์ชัดเจน การเทรดอาจจะไม่สนุกมาก แต่อย่างน้อยก้ทำให้เทรดเดอร์ชาวไทยได้รู้จักกับการเทรดสินค้าเกษตรล่วงหน้ากันมากขึ้น เมื่อทิศทางราคากลับมามีเทรนด์คงน่าสนใจขึ้นครับ
นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง